ฟังมาทั้งชีวิต... เพิ่งรู้! ความลับบทสวดงานศพ ที่คนไทยหลายคนไม่เข้าใจ


ฟังมาทั้งชีวิต... เพิ่งรู้! ความลับบทสวดงานศพ ที่คนไทยหลายคนไม่เข้าใจ


เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ไปร่วมงานศพ และถึงวาระสำคัญคือการสวดพระอภิธรรม เรามักจะได้ยินบทสวดที่คุ้นหูว่า "กุสลา ธรรมา... กุสลา ธรรมา..." แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าบทสวดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร

แม้จะลองค้นหาคำแปล ก็มักจะพบคำอธิบายเชิงวิชาการ เช่น "ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล" "ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล" ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็ยังยากที่จะทำความเข้าใจอยู่ดี

ทีนี้ หากเราลองย้อนกลับไปดู "ประวัติศาสตร์" ของการสวดในพิธีศพ จะพบกับข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

#จุดที่ 1: สมัยก่อน... เขาไม่ได้สวดบทนี้!

ในสมัยโบราณ บทสวดที่นิยมในงานศพไม่ใช่บท "กุสลา" แต่เป็นการ "สวดพระมาลัย" ซึ่งเป็นวรรณคดีที่เล่าเรื่องของพระมาลัยเถระที่ได้ไปเยือนสวรรค์และนรก เพื่อเทศนาสอนเรื่องกฎแห่งกรรมและบาปบุญคุณโทษ

#จุดที่ 2: "พระมาลัย"... บทสวดในงานแต่งงาน!?

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ แต่เดิมบท "พระมาลัย" นี้ ถูกนำมาใช้ "สวดในงานแต่งงาน"! ในธรรมเนียมโบราณ เจ้าบ่าวจะต้องไปนอนเฝ้าหอเพียงลำพังก่อนหลายวัน จึงมีการนิมนต์พระมาสวดพระมาลัยให้ฟัง เพื่อเป็นการอบรม "สอนให้เป็นคนดี" และตระหนักรู้เรื่องกฎแห่งกรรมก่อนที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่

ภายหลัง ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม จึงเป็นที่นิยมนำมาสวดในงานศพด้วย โดยเฉพาะในเวลาที่ต้อง "อยู่เป็นเพื่อนศพ" ตลอดทั้งคืน เพื่อให้ผู้ที่มาเฝ้าศพได้ฟังคติธรรม

#จุดที่ 3: คนไทยสายสันทนาการ... "รีมิกซ์" บทสวด!

การสวดเรื่องเดิมๆ ตลอดทั้งคืนอาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ประกอบกับอุปนิสัยรักสนุกของคนไทย จึงเกิดการปรับเปลี่ยนเป็นการ "สวดคฤหัสถ์" คือให้ฆราวาสหรือชาวบ้านเข้ามาร่วมสวดด้วย แต่ไม่ใช่การสวดแบบธรรมดา มีการปรับเปลี่ยนให้สนุกสนานยิ่งขึ้น เช่น:

เปลี่ยนทำนอง:
ทำให้เร็วขึ้นและเร้าใจขึ้น

ใส่เครื่องดนตรี:
มีการนำ ฉิ่ง ขลุ่ย และเครื่องดนตรีอื่นๆ เข้ามาประกอบ

แต่งกายเลียนแบบ:
มีการแต่งตัวตามเนื้อเรื่องที่สวด (คล้ายการคอสเพลย์)

เล่นมุกตลก:
และจุดที่ถือว่าโดดเด่นที่สุด คือการสอดแทรกมุกตลก ซึ่งบ่อยครั้งเป็น "มุกสองแง่สามง่าม" (18+) โดยมีพระสงฆ์บางรูปเข้าร่วมวงสร้างความครื้นเครงด้วย

#จุดที่ 4: "ถูกสั่งแบน" เพราะเล่นเกินพอดี!

ความสนุกสนานนี้ดำเนินมาจนถึงยุค "รัชกาลที่ 1" ซึ่งทรงเล็งเห็นว่าการกระทำดังกล่าว "เกินเลย" และไม่เหมาะสมกับพิธีศพที่ต้องการความสำรวม โดยเฉพาะการที่พระสงฆ์ร่วมเล่นมุกตลกหรือฉันอาหารยามวิกาล จึงได้ออก "กฎหมายสงฆ์" สั่งห้ามการสวดพระมาลัยในลักษณะนี้

และโปรดให้เปลี่ยนมาสวดบทที่ "เรียบร้อย" และ "ขลัง" กว่า นั่นคือ "พระอภิธรรม"

#จุดสุดท้าย: "พระอภิธรรม" คืออะไร?

"พระอภิธรรม" คือ "แก่น" หรือ "ขั้นสูงสุด" ของปรัชญาพุทธ เป็น 1 ใน 3 หมวดของพระไตรปิฎก ว่าด้วยเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยเป็นเนื้อหาเชิง "วิชาการล้วนๆ" ไม่มีเรื่องเล่าหรือตัวละครประกอบ (เชื่อกันว่าเป็นบทที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศน์โปรดพระมารดาบนสวรรค์)

ปัญหาคือ "พระอภิธรรม" ฉบับเต็ม (ทั้ง 7 คัมภีร์) นั้น มีเนื้อหาที่ "ยาว" และ "ยาก" ต่อความเข้าใจอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ คนไทยซึ่งนิยม "การย่อ" จึงไม่ได้สวดฉบับเต็ม แต่เลือกสวดเฉพาะส่วนที่เรียกว่า "มาติกา" (Mātika)


และ "มาติกา" ก็คือ... "สารบัญ" นั่นเอง!

ใช่แล้วค่ะ"กุสลา ธรรมา... อกุสลา ธรรมา..." ที่เราได้ยินกันนั้น แท้จริงคือ "ชื่อหัวข้อ" หรือ "ชื่อบท" ที่ถูกเรียบเรียงไว้ในสารบัญของคัมภีร์พระอภิธรรมทั้ง 7 เล่ม!

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บทสวดฟังดูไม่ต่อเนื่อง หรือไม่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะแท้จริงแล้วคือการ "สวดสารบัญ" ให้เราฟังนั่นเอง

สรุปคือ: สิ่งที่เราฟังในงานศพมาโดยตลอด คือการสวด "สารบัญ" ของปรัชญาพุทธขั้นสูง เพื่อความเป็นสิริมงคล และเพื่อเป็นการทบทวนหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนานั่นเอง

...เมื่อทราบเช่นนี้ คราวต่อไปที่เราไปร่วมงานศพ ก็คงจะเข้าใจแล้วว่าท่านกำลังสวดอะไรให้เราฟัง


เครดิต :
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม ทันทุกเรื่องฮิต


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์