ทำดีให้ดีปรากฏ (ท่านปิยโสภณ)
.............เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สังคมคิดพึ่งพาเฉพาะกฎหมาย คือการให้ผลระยะสั้น ไม่สนใจกฎแห่งกรรมที่จะให้ผลระยะยาว ในที่สุด คนทำดีจึงหมดแรงทำดีต่อไป เพราะเห็นว่าดีที่ทำนั้นไม่ยอมให้ผลสักที บ่นว่านานเกินรอ ความจริงเขาลืมนึกไปว่า ความดีเป็นไม้ยืนต้น ชื่อเสียงเกียรติยศลาภสักการะบริวารเป็นไม้ล้มลุก ดีแท้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะปลูกฝังนานมาก กว่าไม้นั้นจะเจริญเติบโต มีแก่นแข็งแร็งพอจะทำเสาเรือนได้ บางครั้งกินเวลานานถึง ๖๐ ปี
.............ความดีมีพลังยิ่งใหญ่ ความดีเหมือนดวงอาทิตย์ ปกติดวงอาทิตย์ทอแสงตลอดเวลา การที่โลกมืดในเวลากลางคืนมิได้หมายความว่าพระอาทิตย์หยุดทอแสง หากแต่เพราะโลกหมุน และมุมโลกอีกด้านไปรับแสงอาทิตย์แทน ทำให้อีกด้านมืด และอีกด้านสว่างสลับกันไป การที่ความดียังไม่ให้ผล มิได้หมายความว่าดีที่ทำไว้ไร้ผล การที่โลกเรายังมืดก็เพราะโลกยังหมุนตัวไปไม่ถึงแสงอาทิตย์ เรารอเพียงไม่กี่ชั่วโมง โลกก็สว่างแล้ว
.............ความดีอยู่ที่จิต จิตของมนุษย์เหมือนดวงอาทิตย์ แต่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า จิตไม่เคยหยุดฉายแสง แสงของจิตคือความคิดหรือปัญญา เหมือนอาทิตย์ไม่เคยหยุดอุทัยแสง แต่ที่เรารู้สึกมืดบอดทางความคิดในบางครั้ง ท้อใจในบางคราว ก็เพราะดวงปัญญาถูกเมฆหมอกคือกิเลสปิดบัง จึงทำให้มองเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว อาจเป็นเพราะสังคมพาไป เพราะค่านิยมที่คนส่วนใหญ่สร้างขึ้นมา แต่เมื่อถึงวัยอันสมควรแล้ว ทุกชีวิตก็ล้วนพูดเป็นภาษาเดียวกันว่า ชีวิตเหมือนละคร สุดท้ายต่างก็หาทางวางสิ่งที่เคยแบกหามมาอย่างหนักในชีวิต ทั้งเกียรติยศ ลาภ สักการะ หรือแม้แต่สังขารของตนก็ต้องละทิ้งไม่ยอมหอบหิ้วข้ามภพชาติไปด้วย ดังโคลงพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ ว่า
.............พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง.............โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
.............นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์.............สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ฤาไหว