ลด ละ ปลด วาง กับ ความยึดติด
ลด ละ ปลด วาง กับ ความยึดติด
พระอาจารย์สยาดอ อู โชติกะ
ก่อนที่คุณจะ ลด ปลด วาง ความยึดติดในบุคคล หรือสิ่งหนึ่งส่งใดได้
พึงสำรวจความยึดติดนั้นในใจตนเองเสียก่อน
การเข้าใจความยึดติดนั้นสำคัญยิ่ง
เพราะคุณต้องเข้าใจมันให้ลึกซึ้งได้เสียก่อน
จิตจึงจะเป็นอิสระ
หากคุณดึงดันบังคับจิตให้ละลดปลดวาง สิ่งหนึ่งสิ่งใด
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นความยึดติดนั้นตามความเป็นจริงได้แล้วล่ะก็
ไม่ช้าไม่นานมันก็จะหวนคืนขึ้นมาใหม่
หนทางเดียวที่จะกำจัดมันได้อย่างเด็ดขาดก็คือ
ต้องมองเห็นมันจนชัดเจนและเข้าใจมันจนลึกซึ้งเท่านั้น
การบีบบังคับตัวเองให้ละลดปลดวาง
หาใช่การละวางที่แท้จริงไม่
คนส่วนมากสร้างเกราะที่มองไม่เห็น
แต่ทะลลุทะลวงเข้าไปไม่ได้ขึ้นมาป้องกันตนจากการถูกทำร้ายจิตใจ
แล้วก็ต้งหน้าตั้งตาแสวงหาความพอใจ
จากเงินทอง ลาภยศ ความบันเทิงเริงรมย์
สิ่งเสพติด สุราเมรัย และความสุขทางเพศ
เพียงเพราะพวกเขารู้สึกเหงาที่ไม่มีใครรักและเข้าใจเขาอย่างแท้จริง
ทุกคนล้วนขลาดเกินกว่าที่จะกล้าเปิดใจออกมา
กลัวเกินกว่าจะปล่อยใจให้บอบบางต่อการกระทบกระทั่งใดใด
มันอาจจะมีความรักความกรุณาแบบฝืนใจ
ความจำต้องพอใจในสิ่งที่มี
และความถ่อมตนแบบข่มใจด้วยเช่นกัน
เบื้องหลังความรู้สึกเหล่านี้
อาจแฝงไว้ด้วยความเกลียด กลัว และหยิ่งผยองในตัวเอง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมองให้เห็น
ความเกลียด ความกลัว ความหยิ่งผยอง ฯลฯ
การมองให้ทะลุก็อาจจะเป็นหนทางลัดอีกเส้นหนึ่งด้วยเช่นกัน
อาตมาก็ลำบากใจยามที่ต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คนด้วยเช่นคุณ
คนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความคิดความสนใจที่ผิวเผิน
โชคดีที่อาตมาเป็นพระภิกษุ
จึงสามารถหลีกเลี่ยงคนที่ตัวเองรับไม่ได้
แต่อย่างไรเสียเราก็เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม
เราอยู่ตามลำพังไม่ได้
ยังต้องพบปะสัมผัสกับมนุษย์ด้วยกัน
อีกทั้งเรายังอยู่ในโลกที่คนส่วนใหญ่
ขาดสติ เห็นแก่ตัว ขาดความเกรงใจ
โง่งมหยิ่งผยอง ขี้อิจฉา ริษยา ฯลฯ
เพราะฉะนั้นก็จำเป็นอยู่เอง
ที่คนฉลาด และไวต่อความรู้สึก
จะต้องทนทุกข์จากการพบปะเกี่ยวข้องกับผู้คน
ความเข้าใจผู้คนให้ลึกซึ้งและความอดกลั้นจึงสำคัญยิ่ง
พึงเตือนตนให้ระลึกถึงพระพุทธพจน์ไว้เสมอ
“ปุถุชฺชโน อุมฺมตฺตโก” *
(ปุถุชนเป็นหมือนคนวิกลจริต ไว้เสมอ)
คุณกำลังรับมือกับผู้คนที่เพี้ยนเจียนบ้า
มนุษย์เราทุกคนแก่ลงเรื่อยๆ
แต่ก็จะใช่ว่าจะต้องเติบโตขึ้นด้วย
คนที่คุณรับมืออยู่ น่าจะเหมือนพวกเด็กที่แก่เกินวัย
ตราบใดที่คุณยังวิ่งหนีจากผู้คนไม่ได้
ก็ต้องพยายามใช้ทั้งปัญญาและกรุณา
เมื่อต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คน
หากเราไม่มีอะไรสักอย่างที่เหมือนคนอื่น
ก็ย่อมไม่มีเรื่องใดแบ่งปันเล่าสู่กันฟังกับเขา เธอผู้นั้นได้
คุณจะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าอยู่อย่างนั้น
หากคุณต้องการมิตร
คุณต้องลองนึกดูว่า คุณกับพวกเขามีอะไรเหมือนกันบ้าง
หากคุณสนใจพวกเขา
เขาก็ย่อมจะรู้สึกสนิทสนมกับคุณไปเอง
(คัดลอกบางตอนมาจาก : “มิตรภาพ สัมพันธภาพ กับความเมตตา” ใน หิมะกลางฤดูร้อน (Snow in the Summer)โดย พระอาจารย์สยาดอ อู โชติกะ พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า,แปลและเรียบเรียงโดย มณฑาทิพย์ คุณวัฒนา. พิมพ์ครั้งที่ ๙ โดย สำนักพิมพ์ DMG, หน้า ๒๕๕-๒๕๗)
* หมายเหตุ :
คำว่า “ปุถุชฺชโน อุมฺมตฺตโก”
ไม่ทราบที่มาของข้อความนี้
และไม่พบในพระไตรปิฏกตามธรรมเนียมของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท
คัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด
ทั้งคัมภีร์อรรถกถาของพระอภิธรรม
หรืออรรถกถาอื่นก็ไม่รวมไว้ในพระไตรปิก
ซึ่งต่างจากธรรมเนียมของนิกายมหายาน
อย่างไรก็ตาม
ข้อความนี้มีปรากฏอยู่ในบางอรรถกถา
เช่น ใน อรรถกถามัชชิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายสูตร ที่กล่าวว่า
“อุมฺมตฺตโก วิย หิ ปปุถุชฺชโน”
พระพุทธโฆษาจารย์ก็มีกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเช่นกัน
และอาจพบได้ใน ขุททกนิกายอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ทิฏฐิกถา (๒)
อัตตานุทฏฐินิเทสสวรรณณา อีกด้วย
ทึ่มา ลานธรรมจักร