การทำสมาธิ จะนั่งท่าไหนก็ได้ จะลืมตาหรือหลับตาก็ได้
แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ต้องนั่งท่านั้น หันไปทิศนี้ ฯลฯ
หรือการเดินจงกรม ก็คือการก้าวไปอย่างมีสติ
ให้เราสนใจแก่นคือการมีสติขณะที่เดินอยู่ทุกย่างก้าว
เพราะการเดินจงกรม ไม่ได้หมายถึงการเดินเหม่อกลับไปกลับมา
แต่ทุกย่างก้าวจะต้องมีสติสัมปชัญญะกำกับอยู่เสมอ
ถึงอยู่ในอิริยาบถอื่น ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะกำกับอยู่เสมอเช่นกัน
ส่วนการสวดมนต์ไหว้พระ ก็ต้องไหว้ให้ถึงใจ
คือระลึกถึงพระรัตนตรัยด้วยความมีสติ มีความสงบเบิกบาน
ไม่ใช่นั่งท่องปาวๆ ไปเฉยๆ แบบเด็กท่องอาขยาน
(ไม่ทราบว่าเด็กเดี๋ยวนี้ยังท่องกันหรือเปล่า)
แล้วการปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้อาศัยลูกฟลุ้ค
เช่นปล่อยตามใจชอบ นึกได้เมื่อไรก็ทำเมื่อนั้น
แต่จำเป็นจะต้องปลูกฉันทะคือความพอใจที่จะมีสติสัมปชัญญะไว้ในใจ
พอมีฉันทะแล้ว วิริยะคือความเพียรก็จะเกิดขึ้น
เราจะขยันเจริญสติสัมปชัญญะโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่รีบมาดูเอาตอนที่กำลังจะได้พบครูบาอาจารย์เท่านั้น
แล้วจิตก็จะเกิดความใส่ใจ เกิดความใคร่ครวญในธรรม
มีความเบิกบานบันเทิงใจในการปฏิบัติธรรมไปได้ตลอดสาย
ไม่รู้สึกฝืดหรือฝืนใจที่จะปฏิบัติ แต่สนุกที่จะปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเสมอในเรื่องการมีความเพียร
แต่การเพียรนั้น ไม่ใช่เอาแรงเข้าแลกอย่างเดียว
และก็ไม่ได้สู้แบบมวยวัด ไม่รู้เหนือรู้ใต้
แต่ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ของจริงในกายในจิตไปอย่างซื่อๆ ตรงๆ
เพราะแก่นของการปฏิบัติอยู่ที่การเจริญสติสัมปชัญญะให้ถูกต้องและต่อเนื่อง
ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ พิธีการ อันเป็นเพียงเปลือกนอก
ของการทำสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม ฯลฯ
โดยคุณ สันตินันท์