ให้รู้แค่ความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆครับ เมื่อไหร่เผลอ! ก็ให้รู้ตัว ให้กลับมา รู้ความรู้สึกตัวพอ การรู้ความรู้สึกตัวจะค่อยๆเด่นชัดขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการเจริญสติวิปัสสนา จาก" ตอนแรกที่รู้แค่แว๊ปเดี๋ยว " แค่แว๊ปเดียว เท่านั้นนะ ไม่ต้องไปพยายามรักษาความรู้สึกตัว ถ้าไปพยายามให้รู้สึกตัวต่อไปนานๆ จะกลายเป็นการพยายามไปรู้สึกตัว จะไม่ใช่ความ" รู้สึกตัวที่บริสุทธิ์ " จะเป็น" การคิดรู้สึกตัวแทน " แยกดีดีนะครับ ตรงนี้หล่ะ ที่ไปสับสนกันทําผิดกันมาก ทําให้วิปัสสนาไม่เจริญ ปัญญาญาณที่จะรู้ธรรมจึงไม่เกิดกันครับ
การเดินจงกรม
ให้เดินสบายๆแบบเบาๆโล่งๆไม่ได้คิดอะไรไม่ได้ให้ความหมายใดๆ " รับรู้ความรู้สึกได้ที่กาย " เช่นเท้ากระทบพื้นก็ให้รู้แล้วจบ (ไม่ใช่ไปตามรู้เท้าก้าว กลายเป็นไปคิดเพ่งเท้าก้าวไป จะกลายเป็นสมถะ) ทําอย่างนี้ถึงเป็นการเจริญวิปัสสนาครับ หรือรู้วูบๆวาบๆแว๊ปเดียว ตอนลมพัดผ่านกาย หรืออยู่เฉยๆวูบผ่านกายผ่านกระประสาทกระแสเลือดในกาย แค่รู้ นั้นหล่ะ รู้ความรู้สึกตัวแล้ว
การเดินจงกรมถ้าจะทําสมถะในการเดินจงกรมให้เพ่งไปที่การก้าวย่างของเท้าก็จะได้สมถะเหมือนกันครับ เช่นตามรู้การก้าวย่างของขาเท้า จะได้สมถะครับ แต่ถ้าไม่ตามดูตามรู้ แต่แค่รู้แว๊ปๆ ตอนเท้ากระทบพื้น เกิดรู้ความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญสติความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อจะเอาปัญญาญาณในการรู้ธรรมได้เอง เพื่อเอามรรคผลครับ แต่สรุปทําอะไรแล้วดีแล้วชอบ ทําไปก่อนเลยครับไม่เป็นไร พอสมถะเข้มแข็งขึ้นมากๆ เดี๋ยวพอมาเจริญวิปัสสนามันก็จะไปได้เร็วมากๆครับ แต่ถ้าจะเอาแต่สมถะแล้วไม่เอาวิปัสสนามาช่วยในตอนท้าย ปฏิบัติไปมากๆก็ไปได้แค่พรหมครับ ไม่ถึงนิพพาน