สมถะและวิปัสสนา ล้วนมีส่วนเสริมกัน
ระหว่างเจริญวิปัสสนา กับสมถะ เจริญวิปัสสนาไปเยอะๆนั้นดีแน่เพราะได้ปัญญา การเจริญสมถะไปมากๆก็ดีทําให้มีสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่กับตัวเรา แต่ถ้าเราเดินอย่างหนึ่งอย่างใดไปมากๆ โดยไม่มีอีกอันเสริมเลยจะหลุดในช่วงปลายๆ ที่ได้ฌาณหรือได้ญาณกันแล้ว เป็นผู้รู้แล้วแต่ยังไม่พ้นตน เรียกว่ารู้ระดับได้สภาวะหมดแล้วด้วย คนที่เจริญปัญญาทําวิปัสสนาไปมากๆจะหลุดเรื่องอารมณ์ ปัญญาญาณหยั่งรู้แม้จะลอกอวิชชาไปเยอะแล้ว แต่อวิชชาตัวที่เหลือติดอยู่กลับมีแรงดึงให้เราหลุดเพิ่มขึ้นมากมายหลายเท่ากว่าเดิมมากนัก เช่น กาม ตัญหา แม้เราจะรู้หมดด้วยญาณแต่กามที่แทบจะร้อนเป็นไฟเผาร่าง ยิ่งถ้าไปเจออดีตคู่กรรมที่เคยร่วมกรรมกันมาผูกพันกันมากๆมา(แล้วโดนพบเจอแน่ๆ เพราะเป็นชาติท้ายๆของคุณแล้ว ยิ่งดึงให้มารีบเจอกันอีกก่อนอดเจอ เลยเจอบททดสอบว่าผ่านไม่ผ่านไปในตัวอีกด้วย) ทําให้หลุดไปเริ่มใหม่กันไปก็เยอะ เพราะเราเชื่อมั่นในปัญญามากเกินไป โดยไม่เอาสมถะมาช่วยกํากับทําให้จิตตั้งมั่น "ไม่วอกแวกได้" สุดท้ายก็หลุดกันครับ ไปหัดเดินซํ้าวนกลับมาใหม่ซะ ส่วนในรายที่เน้นแต่สมถะเป็นหลักโดยไม่เอาวิปัสสนาไม่เอาปัญญาเลย จะเห็นได้เลยครับกลุ่มนี้ในช่วงปลายๆจะไม่ค่อยหลุดเรื่อง กาม ตัญหา เพราะกําลังของสมาธิที่มีมากๆแม้จะเป็นของชั่วคราว แต่กลุ่มนี้เจริญไปถึงจุดหนึ่งจะตันไปต่อไม่ได้อยู่กับสภาวะนิพพานเทียมว่างเทียม ว่างที่ไม่มีสติปัญญากํากับ ว่างแบบโล่งๆไม่มีอะไร เป็นว่างที่เกิดจากกําลังของสมถะซึ่งเสื่อมได้ หลงติดในสุขแห่งสมาธินั้น แต่จะไม่ได้มรรคผล และอวิชชาก็ไม่ได้หลุดออกไปจากจิตเลย ปัญญาญาณไม่สามารถทําหน้าที่ได้เพราะคลุมไปด้วยอวิชชา ยังหลงทางอยู่ ถ้าเอาวิปัสสนามาเสริมกลุ่มนี้ได้ จะเดินหน้าได้เร็วมากครับ
ขอขอบคุณ Trader Hunter พบธรรม
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!