เหตุผลดี แต่โมโหร้าย
กล่าวคือ มีจิตดิบ อารมณ์พลุ่งพล่านรุนแรง
ชอบยัดเยียดความเจ็บปวดให้คนอื่น
อาจด้วยการประทุษร้ายทางวาจา
หรือกระทั่งประทุษร้ายด้วยการลงมือลงไม้
เมื่อเกิดปัญหาก็ชอบเอาชนะด้วยวิธีป่าเถื่อน
เห็นแม้การบาดเจ็บหรือล้มตายของศัตรูเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นธรรมชาติของการระบายความเจ็บใจให้ตนเอง
อารมณ์รุนแรงที่ติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออก
ตลอดจนวิถีทางแห่งการกระตุ้นโทสะ
กับโอกาสบ่มโทสะให้เติบกล้า
กระทั่งรักแรง แค้นแรง ยอมไม่ได้
ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
ค่อนข้างเป็นสัญญาณบ่งชัดถึงนิสัยเก่า
คือถ้ามองว่าเป็นสิ่งที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนเกิด
จะง่ายกับการทำความเข้าใจ
ตลอดจนหาทางแก้ไขเยียวยา
มากกว่าการมองว่าเกิดมาก็เพิ่งเป็น
ความก้าวร้าวที่ฝังแน่นในจิตวิญญาณ
เกิดขึ้นกับคนสองพวกใหญ่ๆ
พวกแรกคือไร้เหตุผลสิ้นดี
พวกที่สองคือมีเหตุผลดีเกินมนุษย์
สำหรับพวกก้าวร้าวด้วย ไร้เหตุผลด้วย
สะท้อนถึงความเป็นจิตวิญญาณ
ที่ยึดแน่นกับอารมณ์แค้น
ถือกำเนิดเกิดตนขึ้นมากับความพยาบาท
แล้วก็จะขอตายไปกับความพยาบาท
คำว่าเมตตาและอภัยดูไกลตัวจับต้องไม่ได้
ประเภทนี้จึงได้ชื่อว่ามามืดและพร้อมจะไปมืด
คือ มีทั้งที่มาที่ไป
เหมาะกับความเดือดร้อนตนเดือดร้อนท่าน
นับแต่ถือกำเนิดจนกระทั่งหลังตายจาก
ส่วนสำหรับพวกก้าวร้าว แต่สติดี เหตุผลดี
เหมือนจะพยายามหาสมดุลให้จิตใจ
สะท้อนถึงความเป็นจิตวิญญาณ
ที่อยากเอาชนะอารมณ์ดิบๆ
แสดงความเมตตาด้วยการหาทางช่วยคน
ทั้งช่วยตรงๆให้ได้ผ่านพ้นสถานการณ์ลำบาก
ทั้งช่วยโดยอ้อมด้วยคำแนะนำฉลาดๆ
เมื่อใดช่วยคนอื่นสำเร็จแล้วใจเย็นลง
ก็จะชอบตัวเองมากกว่าตอนหุนหันพลันแล่น
หรือตอนใจร้อนยอมอ่อนข้อให้ใครไม่ได้
ประเภทนี้ได้ชื่อว่ามาสว่าง
และมีสิทธิ์ไปสว่างได้
แม้แพ้อารมณ์ร้ายของตัวเองกลางทางบ้าง
ก็ยังอยากลุกขึ้นสู้ใหม่
เพื่อเปลี่ยนทางเดือดร้อนสู่ทางร่มเย็นลง
เมื่ออยากเปลี่ยนทางกรรม
หลายคนมักหาทางเอาชนะ ‘โคตรโทสะ' ของตน
ด้วยการตั้งหลัก ทำอะไรดีๆเอาทุน
เช่น ไปหาหมอขอยาลดสารพิษในตัว
ไปเข้าคอร์สบริหารความโกรธ
ไปทำสังฆทานอธิษฐานขอให้ใจเย็นลง
ไปเข้าพักปฏิบัติธรรมตั้งใจอภัยทั้งโลก ฯลฯ
ซึ่งก็นับว่าดี เป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญ
เพียงแต่ต้องระลึกให้มั่นว่า
นั่นเป็นการตั้งหลัก เอาทุน เอากำลังกายกำลังใจ
ไม่ใช่ไม้เท้าวิเศษที่เสกปุ๊บหายขาดปั๊บ
มิฉะนั้น พอล้มเหลวก็จะเสียกำลังใจ และไพล่คิดว่า
วิธีไหนๆก็ไม่ได้ผลหรอก ไม่มีวันหายหรอก
ที่จะ ‘แก้กรรมร้อน'
ซึ่งสะสมมานานข้ามภพข้ามชาติให้ได้ผลจริง
มุมมองที่ถูกต้องตรงทางเป็นเรื่องสำคัญมาก
คนเจ้าโทสะต้องอุทิศทั้งชาติให้กับการสะสมกรรมเย็น
โดยไม่หวังว่าจะมีทางลัดสักวิธี
ขุดเอา ‘โคตรโทสะ' ของตนถอนขึ้นมาทั้งยวง
ภายในวันสองวันได้
แล้ว ‘กรรมเย็น' คืออะไร?
เริ่มจากมโนกรรม
เริ่มจากใจที่ไม่คิดยอมแพ้โทสะ
ถ้า ณ จุดเกิดเหตุที่ภูเขาไฟใกล้ระเบิด
มีความคิดเอาชนะโทสะ ไม่คิดยอมแพ้มัน
นี่เรียกว่ากรรมเย็นอันเป็นรากเหง้าแห่งเมตตาเกิดแล้ว
ปกติกรรมร้อนจะบันดาลแรงดัน
ให้เกิดความคิดประเภท
ทนไม่ไหวแล้ว (ทั้งที่ยังไม่เคยฝึกที่จะทนสักนิด)
มันทำเรา (ทั้งที่บางทีเรานั่นแหละทำเขาก่อน)
เป็นเรื่องใหญ่มาก (ทั้งที่มันเรื่องเล็กมาก)
ต้องเอาเรื่องให้ได้ (ทั้งที่ไม่เอาก็ไม่มีใครว่า)
ดังนั้น เมื่อปลงใจไว้ล่วงหน้าว่าจะเอาชนะโทสะ
ก็เท่ากับสร้างกรรมเย็นที่จะเอาชนะแรงดัน
กระทั่งตาสว่างเห็นชัด เกิดความคิดเช่น
ทนได้ ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก
ผ่านๆไปเสียก็ไม่ต่างจากสายลมผ่านมา
สรุปแล้ว มโนกรรมสำคัญที่สุด
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
แค่การตัดสินใจว่าจะเอาชนะโทสะ
แค่ความคิดในหัวที่ก่อตัวขึ้นเอาชนะโทสะแต่ละครั้ง
นั่นแหละที่จะเปลี่ยนเส้นทางกรรมของคนเจ้าโทสะได้
ไม่ใช่อะไรลึกลับ
หรือต้องลงทุนเข้าพิธียิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย!