อย่ามัวแต่ติเตียนชีวิตคนอื่น จนไม่มีเวลามองชีวิตตัวเอง
ไม่มีเวลามองการกระทำของตัวเราเอง ว่าเรานั้นก็มีมุมดีและไม่ดี เราไม่ได้ดีไปกว่าใคร
เพราะเราชินกับการเอาตัวของเราเป็นศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ใครที่ทำถูกใจเราเราอาจเฉย ไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อไหร่ที่ใครก็ตามทำไม่ถูกใจเรา เราจึงหาเรื่องติ เรื่องต่อว่าไปทั่ว
โดยที่เราไม่เคยมองว่า เรานั้นหาญกล้าเฉกเช่นเขาหรือไม่ เขามีเจตนาทำหรือไม่เจตนาทำอย่างไร เขามีเหตุผลต้องทำหรือไม่ทำเพราะอะไร
หากการติติง ติเตียนของเรานำมาซึ่งประโยชน์ของคนหมู่มากนั่นคือสิ่งดีที่เราควรทำ ควรแจ้งให้ปรับปรุงเพราะหวังดี ก็คงมีคนรับฟังเสียงนั้นบ้าง
แต่หากการติติง ติเตียนของเรา มันเกิดเพราะมันไม่เป็นไปตามที่ใจเราต้องการ เราได้สิทธิ์อะไรในติติง วิพากวิจารณ์ชีวิตคนอื่น และการกระทำคนอื่น?
หากคนๆ นั้นเขาได้รับคำวิจารณ์นั้นซ้ำๆ จนหมดสิ้นแล้วกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อ คำติ คำวิจารณ์ของเราอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายในการตัดสินใจทำบางอย่างก็ได้
ยิ่งเราสนิทกับใคร เรายิ่งต้องแคร์ความรู้สึกของเขาให้มาก ยิ่งไม่รู้จักเขา ไม่รู้ภูมิหลังของเขา เรายิ่งต้องเจียมคำพูด
ไม่ชอบอย่างไหน อย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่นเครดิตแหล่งข้อมูล : dharmabuddhism_