คอลัมน์ เศรษฐีพันธุ์ใหม่
"...โอ้พระเจ้า...จอร์จ...มันยอดมาก..."
วลีฮิตติดปากคนทั่วบ้านทั่วเมืองที่มีต้นกำเนิดมาจากรายการแนะนำสินค้ายามดึกที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับทรงพลังสร้างปรากฏการณ์ได้อย่างคาดไม่ถึง
ปรากฏการณ์ที่สร้างให้ตลาดสินค้าขายตรงผ่านทางโทรทัศน์เติบโตอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะกับต้นกำเนิด "จอร์จ" อย่าง บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด ที่สร้างผลประกอบการได้ในระดับ 1,000 ล้านบาท และยังแตกไลน์ขยายกิจการให้ครบวงจรเติบใหญ่กลายเป็นผู้นำในวงการ
ทั้งหมดเป็นผลจากแรงขับเคลื่อนของผู้นำองค์กรระดับกรรมการผู้จัดการที่ชื่อ "ทรงพล ชัญมาตรกิจ"
นักบริหารหนุ่มที่บอกว่า ใช้วิธีการบริหารงานแบบ "หมัดไร้เงา" เอาชนะบททดสอบจากพระเจ้า สร้างผลงานจน "จอร์จ" ต้องยอมรับว่า...มันยอดมาก... เช่นปัจจุบัน
เส้นทางการเติบใหญ่ของทีวีไดเร็คเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของทรงพลตั้งแต่วัยกระเตาะ ที่หาญกล้าทำงานส่งเสียตัวเองเรียนมาตั้งแต่สมัยเรียน ปวช. ไปจนถึงเอแบค เขาได้เข้าไปเป็นหนึ่งในพนักงานเครือบริษัทใหญ่อย่าง ซี.พี. ในฝ่าย ซี.พี. เอเวอร์ไชน์ มีหน้าที่ติดต่อหาสินค้าสารพัดชนิดส่งขายให้กับประเทศคู่ค้าตามคำขอ กระทั่งบริษัทปิดตัวลง เขาจึงย้ายงานมาอยู่ฝ่ายต่างประเทศให้กับทีมรถแข่ง สังกะสีตรา 3 มงกุฎ เป็นการปูพื้นก่อนที่จะก้าวเข้าสู่แวดวง "ขายตรง" แนวใหม่อย่างที่เขาไม่เคยนึก
"สยามเทเลมาร์เก็ตติ้ง" บริษัทร่วมทุนที่มีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นโต้โผใหญ่ร่วมกับ แม่- พรศรี เวชสุภาพร ทำเรื่องของดาต้าเบสฐานรายชื่อลูกค้า direct marketing ในรูปแบบ mail order
แค่เริ่มต้นความพลาดก็เข้ามาทักทาย บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า สูญเงินไป 8-10 ล้านบาท
แต่ในความพลาดยังไม่วายเปิดช่องยั่วยวนให้เขาได้ลองก้าวเข้าสู่เส้นทางของ "ทีวี ช็อปปิ้ง"
"คุณกิตติที่กันตนาโทร.มาถามว่า สนใจไหม ที่จะทำทีวี ช็อปปิ้ง ซึ่งตอนนั้นมีคนทำรายการประเภทนี้เยอะมาก 17-18 ราย อย่างมีเดียออฟมีเดียส์ก็ทำ ช็อปปิ้งกริ๊ง 7 สี แกรมมี่ก็ทำ เคาะแล้วขาย เราเข้าไปเป็นรายที่ 4-5 ผมก็บอกว่าผมอยากทำ แต่ทำไม่เป็น เขาบอกว่า ไม่เป็นไรมีคนช่วย"
ทรงพลได้นักการตลาดมือดีอย่าง "พร ศรีจันทร์" มาเป็นครูฝึก พร้อมทั้งเป็นที่ปรึกษา ไม่นานนัก "แป๊ะยิ้ม ทีวีช้อป" ก็ออกสู่ตลาดทางช่อง 3 โดยการใช้สินค้าจากแค็ตตาล็อกที่มีมาทำการขาย ที่เขาเรียกว่าเป็น "ดับเบิลเซล" อีกที เส้นทางปลอดโปร่งราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบ กิจการงานรุดหน้าไปได้ด้วยดี หากในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
"ปีแรกเรียกว่าเป็นความสำเร็จในการตั้งฐาน แต่ความไม่รู้คือ ปลายปีเป็นช่วงพีกของโฆษณา ทางกันตนาไม่มีเวลาให้เรา ดังนั้นตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม บริษัทเงียบไม่มีสปอต ไม่มีเวลาให้ ได้แต่โทษตัวเอง ทำไมโง่อย่างนี้ ทำไมเราไม่รู้ เอแบคก็สอนมา แต่เราไม่ได้เอามาใช้ ผมนั่งร้องไห้ที่ออฟฟิศถึงเช้าเลย ในที่สุดตัดสินใจหามีเดียเพิ่ม หวังพึ่งกันตนาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว"
เขาตะลุยหาช่องทางจนโอกาสเวียนมาหาเขาอีกครั้ง เมื่อทรงพลได้พบกับ ประวิทย์ มาลีนนท์ ที่ให้เวลาทางช่อง 3 มาเปิดโอกาสให้เขาอีกครั้ง และเขาก็สร้างโอกาสนั้นให้เติบใหญ่สวยงาม แต่...
"อะไรที่มันดีเกินไป พระเจ้าจะส่งบททด สอบมาเสมอ"
บททดสอบคราวนี้ เขาต้องผจญกับซัพพลายเออร์เจ้าเล่ห์ที่ซิกแซ็กส่งของไม่ได้มาตรฐาน และยังหักหลังส่งของให้กับเจ้าอื่นมาขายตัดราคา
ความเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่า เขาไม่ได้รู้จักธุรกิจนี้เลย ดังนั้นยุทธการการเรียนรู้ ทำความรู้จักกับธุรกิจนี้จึงเริ่มต้นอย่างจริงจัง ทั้งหาข้อมูล ซื้อหนังสือ บินไปดูงานที่อเมริกา และสเปน รับแรงเสียดทานดูแคลนมาอย่างมากมาย กระทั่งประตูแห่งโอกาสเปิดกว้างต้อนรับนักธุรกิจหนุ่มวัย 23 เช่นเขาอีกครั้ง
"ที่สิงคโปร์ผมกับแม่และที่ปรึกษาบินไปคุยกับเขา เขาทำทีวีอิมเมจและทีวีมีเดีย ตอนนั้นเรามีคู่แข่งเป็นยูทีวีและมีเดียฯ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกเรา"
ทีวี มีเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จึงเกิดขึ้นด้วยการถือหุ้นระหว่างไทยและสิงคโปร์แบบ 50 : 50 เปิดตัวด้วย "แอบโดมิไนเซอร์" เครื่องออกกำลังกายชิ้นสำคัญที่สร้างยอดขายได้ถล่มทลายนับแสนชิ้น กระทั่งต้องนำเข้าแม่พิมพ์จากญี่ปุ่น สั่งเม็ดพลาสติกมาผลิตเพื่อป้อนตลาดเอง
ท่ามกลางความรุ่งเรือง ปัญหาก็ยังวนเวียนตามมาอย่างไม่ลดละ เขาต้องทำความเข้าใจและเสนอแนะต่อกรมประชาสัมพันธ์ จน "เคาะ" ออกมาว่า การขายสินค้าทางทีวีเช่นเป็นรายการ หาใช่โฆษณาไม่ เวลานั้นทรงพลมีโอกาสที่ได้พบกับ ชาติเชื้อ กรรณสูต และ สุรางค์ เปรมปรีด์ ทำให้เขาสามารถเปิดแนวรบการขายผ่านทางช่อง 7 ทำรายได้ถึงปีละ 300 ล้านบาท บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
และแล้วพระเจ้าก็ลงมาเล่นตลกกับเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้เล่นแรงด้วยภาวะเศรษฐกิจวิกฤต รัฐบาลปล่อยลอยตัวค่าเงิน บริษัทที่กำลังไปได้สวยกลับต้องจอดอย่างไม่ต้องแจว
"ตัวเลขมันเพิ่มขึ้นเท่าตัว อย่างเราสั่งของไปราคา 17 ล้าน ปรากฏว่าพอลอยตัวค่าเงินบาทเท่านั้น เท่ากับว่าเราต้องเป็นหนี้สูงถึง 34 ล้าน เห็นๆ เลย"
เท่านั้นยังไม่พอ ทางสิงคโปร์มีการขายหุ้นเปลี่ยนมือ เปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนกลยุทธ์ เปลี่ยนนโยบายใหม่ รวมถึงการเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการของเขาไปทั้งหมด
ยังไม่นับรวมความสะเทือนใจที่แม่ ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ถูกขับออกจากบริษัทภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งพนักงานถูกไล่ออกไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้เขาตัดสินใจที่จะลาออกตัดปัญหา
นั่นเป็นเวลาที่เขาบอกว่า พระเจ้าซาดิสม์กับเขาเหลือเกิน