เมื่อกลางเดือนกันยายนมีพายุพัดเข้ากรุงเทพฯ หลายลูก ฝนมักจะกระหน่ำตอนค่ำๆ ท้องฟ้าแดงฉาน อุ้มน้ำหนักอึ้ง ลมก็แรงอู้ๆ น่ากลัวมากครับ แต่ผมกลับชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะมันทั้งแรง มีพลังอัดแน่นและลึกลับ
คืนนั้น ผมไปส่งแฟนถึงบ้านเธอที่พุทธมณฑลสายห้า ทั้งที่เธอบอกว่าไม่ต้องส่งเพราะเป็นห่วงผมเหมือนกัน บ้านผมอยู่ประดิพัทธ์ ไกลกันคนละฝั่งฟ้าก็ว่าได้ แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ พอรถเมล์มาผมก็โดดขึ้นไปกับเธอทันที ส่งจนเธอเข้าบ้านเรียบร้อยผมก็นั่งรถเมล์กลับ
ขณะนั้นเป็นเวลาราวสามทุ่ม มาถึงวงเวียนใหญ่สี่ทุ่มกว่าๆ ผมก้าวลงจากรถเมล์ ท้องฟ้าแดงฉาน มีฟ้าแลบสว่างวาบๆ แล้วคำรามกระหึ่มครืนๆ จนรู้สึกชัดถึงพลังกระแสไฟฟ้าที่แผ่ซ่านอยู่ในทุกอณูอากาศ คอยดูเถอะ เดี๋ยวต้องมีพายุใหญ่แน่ๆ
เอ...แบบนี้ผมต่อแท็กซี่จะสะดวกกว่าละมัง มือเร็วเท่าความคิด ยกขึ้นโบกเรียกรถพอดี แท็กซี่สีม่วงแดงคันหนึ่งปราดเข้ามาเทียบฉับไว คนขับดูจะดีอกดีใจจนผมอดนึกขันไม่ได้...ดีใจอะไรจะปานนั้น?
"ขึ้นมาเลยครับ จะไปไหนก็ได้" เสียงโชเฟอร์เริงร่า ทำอย่างกับว่าตลอดทั้งคืนไม่มีใครเรียกเขาเลย เพิ่งมีผมนี่ละรายแรก...พอบอกจุดหมายเขายิ่งดีใจใหญ่
"แหม! คุณครับ ดีจังเลย! ผมจะได้เข้าบ้านเหมือนกัน บ้านผมอยู่เตาปูนครับ...ดีจริงๆ ไม่ไกลจากบ้านคุณเท่าไหร่ แหม! ดีจริงๆ"
เขาพูดเสียจนผมชักจะกลัวแล้วซี...เจ้าหนุ่มนี่สติดีหรือเปล่า?
จากการลอบมอง พินิจพิเคราะห์อยู่ที่เบาะหลังนี่ เขาก็ดูหน้าตาดี อายุคงจะยี่สิบต้นๆ วัยเดียวกับผมนี่แหละ เขาคงอยากกลับบ้านเร็วๆ เพราะฝนกระหน่ำ แต่เอ...อาชีพอย่างเขาไม่น่าจะคิดแนวนั้นนะ! สงสัยหมอนี่หนักไม่เอาเบาไม่สู้ซะละมั้ง?
ฝนเม็ดโตตกใส่รถเสียงเปาะแปะ แล้วก็เทโครมลงมาจากฟ้า โอ้โฮ! ฝนตกซะมองอะไรไม่เห็น นอกกระจกน่ะดูเป็นฝ้าขาวไปหมด
"ผมขอจอดข้างทางก่อนนะครับ ไม่ไหว..." แท็กซี่หนุ่มหันมาบอกเป็นเชิงหารือ ผมก็เห็นพ้องด้วย เขาพูดอีกว่า "ดีนะที่มีคุณมานั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วย"
ผมสะกิดใจในคำพูดนั้นนิดๆ แต่พอดีแฟนโทร.เข้ามือถือ...บอกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ ฟังแล้วชื่นใจจัง...ผมคุยโทรศัพท์ตาก็ดูฝนที่ซัดซ่าหนักหน่วง สักพักหนึ่งผมก็ขอวางสาย เพราะเคยได้ยินว่าโทรศัพท์มือถือก็เป็นสื่อให้ฟ้าผ่าได้เหมือนกัน
ขณะที่ปิดมือถือ หางตาผมเห็นเหมือนมีใครมานั่งอยู่ทางขวามือในเบาะหลัง ผมหันขวับไปมอง แต่ที่นั่งตรงนั้นว่างเปล่า...เราคงจะตาฝาดไปเองน่ะ! แปลก...ถึงจะไม่เห็นใคร ผมก็ยังคงรู้สึกว่ามีคนคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้หายไปไหน...
ฟ้าครืนๆ เหมือนเทวดาลากโต๊ะหนักๆ อยู่บนโน้น ก่อนเสียงครืนนั่นจะจาง ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากข้างตัวผมจริงๆ หันขวับไปมองตรงที่ว่างเปล่าแล้วขยับตัวไปชิดประตูมากขึ้น ตามองไปที่กระจกส่องหน้ารถ เจอกับสายตาของหนุ่มโชเฟอร์ที่เล็งอยู่...เขาดูตกใจนิดๆ กะพริบตาถี่ๆ แต่ไม่กล้าถามว่าผมเห็นอะไร
ท่าทางนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนกำลังรอดูสถานการณ์!
"คุณเปิดวิทยุรึเปล่า?" ผมถามขึ้นเขาก็สั่นหัว ตอบว่าเปล่า...แล้วก็เงียบกริบ มีแต่สายตาในกระจกที่มองมาอย่างหวาดระแวง ท่าทีนั้นทำให้ผมสังหรณ์ใจว่า ในรถนี่มันต้องมีอะไรแน่ๆ ยิ่งจ้องดูความว่างเปล่าข้างตัวแล้วขนลุกซ่า หนาวยะเยือก...
ทันใดนั้น มีกลิ่นบางอย่างค่อยๆ โชยมา เป็นกลิ่นคาวๆ พูดตรงๆ คือว่า มันเป็นกลิ่นคาวเลือด! ผมนึกถึงตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเมื่อ 2-3 ปีก่อน เพื่อนของผมหกล้มหัวแตก ผมพามันไปโรงพยาบาล ก็กลิ่นนี้แหละ ...จำได้ติดจมูกเลย!
"เมื่อกี้คุณรับคนเจ็บขึ้นรถมารึเปล่าเนี่ย?" ผมพูดกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้มันเครียดเกิน แท็กซี่หนุ่มทำท่าอ่อนใจก่อนจะพยักหน้า
"โอย...นั่นไง! จนได้! ผมนึกออกแล้ว..."
เขาบ่นยืดยาว แล้วก็เล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือก!
เมื่อสามวันก่อน น้าเขาขับรถคันนี้ช่วงสี่ทุ่มกว่าๆ แบบนี้ละ ขณะที่รถวิ่งอยู่แถวๆ ถนนพระรามสอง มีผู้หญิงวัยรุ่นนุ่งขาสั้นสีขาว ใส่เสื้อสายเดี่ยวสีดำ มีรองเท้าส้นตึกติดเท้าอยู่ข้างเดียว หล่อนเดินโซเซตัวงอมายกมือเรียกรถ น้านึกว่าเป็นคนเมา แต่พอรับขึ้นมาหล่อนก็บอกว่าถูกแทงมาหยกๆ
น้าตกใจมาก รีบขับไปหาโรงพยาบาลใกล้ที่สุด ปากก็คอยพูดกับสาวคนนั้น เธอร้องไห้และครวญครางอย่างเจ็บปวด ไม่ตอบอะไรเลย อึดใจเดียวก็เงียบไป
เมื่อน้ามองกระจกหลังก็เห็นเธอแหงนหน้าพิงพนัก นัยน์ตาเหลือกค้าง สะอึก 2-3 ครั้ง น้าเหยียบคันเร่งจนถึงโรงพยาบาล ปรากฏว่าสาวน้อยสิ้นใจแล้ว เลือดตกใน แต่ขณะที่ช่วยกันอุ้มร่างเธอลงจากรถ เลือดทะลักออกทางปากมากมายน่าขนลุก
น้าของแท็กซี่ต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ ไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน? ใครแทงเธอ?
ผมฟังเรื่องแล้วใจจะขาด อยากเปิดประตูเผ่นจากรถซะเดี๋ยวนั้น ไม่แคร์แล้วละครับว่าฝนข้างนอกจะกระหน่ำหนักแค่ไหน...คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ! ที่ข้างๆ ผมนี่มีผู้หญิงมานั่งตายเมื่อสามวันก่อนนี่เอง...สามวันพอดี!
หนุ่มโชเฟอร์บอกว่าเขาไม่เชื่อเรื่องผี ไม่กลัวด้วย แต่คืนนี้กลับรู้สึกตลอดเวลาว่ามีใครมานั่งข้างหลัง สะอึกสะอื้น ถอนใจยาวๆ แถมมีกลิ่นเลือดโชยมาเป็นระยะ เขากลัวมากๆ จนกระทั่งผมเรียกพอดี...โชคดีที่มีเพื่อนนั่งกลับบ้าน
ผมทนนั่งรถกับผู้หญิงที่ถูกฆ่ามาจนถึงประดิพัทธ์ พอลงรถก็ปรากฏว่า โชเฟอร์จอดล็อกรถไว้ในซอยผมนั่นแหละแล้วต่อตุ๊กตุ๊กกลับบ้าน ส่วนผมไม่กล้ามองไปที่รถนั่นเลย นึกแล้วเสียวสันหลังวาบๆ กลัวเธอจะตามผมมาด้วยน่ะซีครับ โธ่...
ขึ้นแท็กซี่บ่อยๆ ระวังนะ!!!
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!