
ประธานาธิบดี ยอดนักสำรวจ

รูสเวลท์ เป็นแกนนำสำคัญในการสนับสนุนให้สหรัฐประกาศสงครามโดยมีเป้าหมายคือปลดปล่อยคิวบาและเป็นผู้ร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม นอกจากนี้ทันทีที่สงครามเริ่มต้น รูสเวลท์ก็ลาออกจากตำแหน่งและจัดตั้งหน่วยทหารม้าชื่อ รัฟไรเดอร์ ซึ่งเขาได้นำหน่วยทหารม้านี้สร้างวีรกรรมหลายครั้งจนเป็นที่เลื่องลือ
สงครามสงบในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน โดยสหรัฐได้รับชัยชนะ ทำให้สเปนยอมถอนกำลังออกจากคิวบาและสหรัฐก็ได้เข้าดูแลคิวบาเป็นเวลาหลายปีก่อนจะให้เป็นเอกราช ซึ่งชัยชนะในสงครามครั้งนี้เอง ทำให้แมคคินเลย์ชนะเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1900 อีกสมัยและเขาได้แต่งตั้งรูสเวลท์เป็นรองประธานาธิบดี ทว่าหลังรับตำแหน่งไม่นาน แมคคินเลย์เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร ทำให้รองประธานาธิบดี รูสเวลท์ ขึ้นมารับตำแหน่งแทน

เดือนมีนาคม ค.ศ.1909 หลังพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง ได้ไม่นาน ธีโอดอร์ รูสเวลท์ได้ออกเดินทางจากนิวยอร์คเพื่อดำเนินโครงการ Smithsonian-Roosevelt African Expedition ซึ่งเป็นเป็นการเดินทางท่องซาฟารีเพื่อสำรวจและเก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในอาฟริกาตะวันออกและอาฟริกากลางโดยได้รับการสนับสนุนด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ จากสถาบันสมิธโซเนียนและได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก แอนดรูว์ คาเนกี้ มหาเศรษฐี เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กกล้า

คณะเดินทางประกอบด้วยเหล่านักวิทยาศาสตร์จากสมิธโซเนียนโดยมีนายพรานนักแกะรอยผู้เป็นตำนานนามว่า อาร์เจคันนิงแฮม เป็นผู้นำทาง และยังมีเฟรดเดอริก เซลูส์ พรานผิวขาวและนักสำรวจผู้มีชื่อเสียงร่วมทางด้วย โดยมีการว่าจ้างลูกหาบทั้งหมดห้าร้อยคนเพื่อใช้แบกหามสัมภาระ

รูสเวลท์นำเกลือมาสี่ตันเพื่อใช้รักษาสภาพหนังสัตว์ พร้อมทั้งนำเท้ากระต่ายนำโชคที่เขาได้มาจาก นักมวยชื่อ จอห์น แอล ซุลลิแวนติดตัวมาด้วย และยังนำปืนมาหลายกระบอก เช่น ปืนไรเฟิลลำกล้องแฝด500/450, ฮอลแลนด์แอนฮอลแลนด์, ปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์.405, ปืนอาร์มีสปริงฟิลด์.30-06, ลูกซองฟอกซ์หมายเลข 12 ส่วนผู้ร่วมทีมล่าสัตว์ของเขาประกอบด้วย เคอร์มิท บุตรชายของเขา, เอ็ดการ์ อเล็กซานเดอร์ เมินส์, เอ็ดมุน เฮลเลอร์ และจอห์น อัลเดน ลอริง

รูสเวลท์กับผู้ร่วมทีมได้ล่าและวางกับดักสัตว์ทั้งหมด 11,400 ตัว โดยมีตั้งแต่แมลง ตัวตุ่น ไปจนถึงฮิปโปโปเตมัส แรดและช้าง ในจำนวนนี้มีสัตว์ใหญ่หนึ่งพันตัว ประกอบด้วย สัตว์ที่พรานนิยมล่าเป็นกีฬา (Big game) 512 ตัว ซึ่งรวมถึงแรดขาวที่หายากจำนวนหกตัวด้วย โดยตลอดการเดินทางทั้งสิ้นสิบเอ็ดเดือน คณะสำรวจได้ล่าสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารไป 262 ตัว

สัตว์และหนังสัตว์น้ำหนักรวมหลายตันที่ถูกรักษาสภาพด้วยเกลือถูกส่งลงเรือไปยังวอชิงตัน ดีซี ปริมาณของมันมีมากจนต้องใช้เวลาเป็นปีถึงจะขนส่งไปได้ทั้งหมดและทางสมิธโซเนียนได้แบ่งตัวอย่างสัตว์ที่ซ้ำกันจำนวนมากให้กับพิพิธภัณฑ์อื่นๆหลายแห่ง เมื่อมีเสียงตำหนิวิจารณ์ถึงจำนวนอันมากมายของสัตว์ที่ถูกล่าในครั้งนี้ รูสเวลท์ได้กล่าวว่า "ผมสมควรถูกประณามว่าทำผิด ถ้าการมีอยู่ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและสถาบันศึกษาทางสัตววิทยาต่างๆถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ผิด"
แม้การท่องซาฟารีครั้งนี้จะทำในนามของวิทยาศาสตร์ ทว่ามันก็เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและสังคมอยู่ด้วย โดยระหว่างการเดินทางสั้นๆเพื่อล่าสัตว์ รูสเวลท์ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าพรานมืออาชีพและบรรดาครอบครัวเจ้าของที่ดิน ทั้งยังพบปะกับชนเผ่าพื้นเมืองอีกหลายเผ่า เขาได้เขียนเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้เป็นหนังสือชื่อ African Game Trails ซึ่งได้บรรยายถึงความตื่นเต้นของการไล่ล่า,เล่าถึงผู้คนที่เขาพบและพรรณไม้กับสัตว์ป่าที่เขารวบรวมมา
นอกจากการสำรวจอาฟริกาแล้ว รูสเวลท์ยังได้ร่วมทีมสำรวจป่าดงดิบของลุ่มน้ำอเมซอน ในปี ค.ศ.1913 - 1914 ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ถูกบันทึกเป็นหนังสือชื่อ Through the Brazilian Wilderness ในครั้งนี้ รูสเวลท์ได้ร่วมงานกับพันเอก ซินดิโด รอนดอน นักสำรวจชาวบราซิล โดยใช้ชื่อโครงการว่าRoosevelt-Rondon Scientific Expedition และได้รับเงินสนับสนุนจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสหรัฐอเมริกา โดยมีข้อตกลงที่จะนำตัวอย่างของพันธุ์สัตว์ชนิดใหม่จำนวนมากมามอบให้พิพิธภัณฑ์

นอกจากพันเอก รอนดอน หัวหน้าทีมแล้ว ผู้ร่วมทีมสำรวจคนอื่น ๆ กับรูสเวลท์ประกอบด้วย เคอร์มิท บุตรชายของเขา,จอร์จ เค เชอรี่ นักธรรมชาติวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสหรัฐอเมริกา,นายสิบชาวบราซิล โจอา ไลร่า, ดร.จอช อันโทนิโอ คาจาเซร่า แพทย์ประจำทีม พร้อมกับลูกหาบและฝีพายผู้ชำนาญพื้นที่อีกสิบหกคน
คณะสำรวจมีเป้าหมายที่จะค้นหาต้นน้ำของแม่น้ำริโอ ดูวิดา (แม่น้ำแห่งความพิศวง) และล่องลำน้ำขึ้นเหนือสู่มาเดอิร่าจากนั้นจึงเข้าสู่แม่น้ำอเมซอน พวกเขาเริ่มการเดินทางครั้งนี้ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ.1913 โดยการล่องแม่น้ำพิศวงได้วางแผนไว้ว่าจะเริ่มต้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1914

ในการสำรวจครั้งนี้ รูสเวลท์ได้รับบาดเจ็บขณะล่องแม่น้ำพิศวง หลังจากที่เขาได้โดดลงน้ำเพื่อพยายามจับเรือแคนูไม่ให้ไปกระแทกกับหิน ทว่านอกจากบาดแผลที่ได้รับแล้ว เขายังป่วยเป็นมาลาเรียด้วย อย่างไรก็ตาม แม้สุขภาพจะย่ำแย่ รูสเวลท์ก็ยังคงร่วมทีมสำรวจต่อไป และมีส่วนช่วยในการทำแผนที่และเก็บข้อมูลภูมิศาสตร์จนกระทั่งการเดินทางสิ้นสุดลง ซึ่งในเวลาต่อมา แม่น้ำพิศวง ก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ริโอ รูสเวลท์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดี ยอดนักสำรวจผู้นี้

หลังกลับจากบราซิล สุขภาพของรูสเวลท์อ่อนแอลงเนื่องจากอาการบาดเจ็บและพิษไข้เรื้อรัง เขากล่าวกับคนใกล้ชิดว่า การเดินทางครั้งนี้คงบั่นทอนอายุเขาไปสิบปี จากนั้นใน ปีค.ศ.1919 ธีโอดอร์ รูสเวลท์ก็เสียชีวิต ขณะมีอายุได้หกสิบปี
ขอบคุณ komkid



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday