ย้อนรอย 3 คดี ฆ่าหั่นศพ โทษสูงสุด “ประหารชีวิต”
แต่หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2541 นายเสริม สาครราษฎร์ ใช้อาวุธปืนยิงแฟนสาวซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 5 มหาวิทยาลัยมหิดล เสียชีวิตด้วยความหึงหวง ก่อนจะตัดสินใจอำพรางศพโดยการลงมือชำแหละศพทิ้งลงชักโครก แล้วนำกระดูกไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ต่อมานายเสริม ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าแฟนสาว เนื่องจากยอมจำนนต่อหลักฐาน เมื่อเข้าสู่กระบวนการตัดสินของศาล ศาลพิพากษาให้นายเสริม จำคุกตลอดชีวิต
ระหว่างถูกจำคุก ตั้งแต่ 2547-2554 นายเสริมได้รับพระราชทานอภัยโทษ 4 ครั้ง จึงเหลือโทษจำคุก 8 ปี และได้รับปล่อยตัวเมื่อปี 2554 ในวัย 35 ปี หลังออกจากจำคุกนายเสริมได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ยิงนางสาวเจนจิราว่า "เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"
ทั้งนี้ศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ รวมถึงศาลฎีกา ต่างพิพากษาให้ประหารชีวิตนายแพทย์วิสุทธิ์ สถานเดียว เนื่องจาก "จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงย่อมจะใช้สติยั้งคิดในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้วิธีดังกล่าว และเมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ยังไม่สำนึกผิด ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมา จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องปราณี เห็นควรลงโทษสถานหนัก" ซึ่งต่อมาหมอวิสุทธิ์ ได้ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ โดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยในช่วงชีวิตที่ถูกจองจำ นายแพทย์วิสุทธิ์ ได้รับการอภัยโทษอยู่หลายครั้ง เนื่องจากปฏิบัติตัวดี ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัว รวมระยะเวลาที่ถูกจำคุกทั้งสิ้น 10 ปี 9 เดือน
การลงมือฆาตกรรมอำพรางศพผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมของนางสาวปรียานุช หรือเปรี้ยว อาจทำให้เธออาจถูกตัดสินประหารชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตามคำตัดสินทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน คำให้การของจำเลย และดุลพินิจของศาลทั้งสิ้น