วัฒนธรรมการเหน็บกริชในราชสำนักสยาม
เนื่องจากในละครเรื่องบุพเพสันนิวาสมีฉากที่ตัวละครที่เป็นขุนนางกรุงศรีอยุทธยาเหน็บกริชเหมือนกับเป็นเครื่องบ่งบอกยศฐาบรรดาศักดิ์ เลยทำให้เกิดข้อสงสัยกับผู้ชมหลายคนว่าในสมัยอยุทธยามีธรรมเนียมดังกล่าวจริงหรือเปล่า
ซึ่งเมื่อพิจารณาตามหลักฐานแล้ว พบว่าข้าราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์เหน็บกริชเป็นเครื่องยศจริง
โดยปกติ คนไทยสมัยโบราณนิยมพกมีดเหน็บติดตัวสำหรับใช้งานเอนกประสงค์ทั่วไป สามารถใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้เมื่อจำเป็นเพราะหยิบใช้ได้ง่ายทันท่วงที แต่สำหรับผู้ดีมีบรรดาศักดิ์พบว่านิยมเหน็บกริชซึ่งเป็นอาวุธจากวัฒนธรรมภูมิภาคมลายูและอินโดนีเซีย แต่สันนิษฐานว่าใช้เป็นเครื่องประดับยศฐาบรรดาศักดิ์มากกว่าใช้เป็นอาวุธ
สันนิษฐานว่าวัฒนธรรมการคาดกริชน่าจะเข้ามาในดินแดนสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนต้นหรือก่อนสถาปนากรุงศรีอยุทธยาแล้ว โดยได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) อาณาจักรฮินดูที่มีศูนย์กลางอยู่บนเกาะชวาและได้แผ่ขยายอำนาจมาถึงบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบันถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากพบทวารบาลแกะสลักไม้บนบานประตูวัดสิงหาราม จังหวัดลพบุรี ศิลปะสมัยอยุทธยาตอนต้นถือกริชสมัยมัชปาหิต
.
เนื่องด้วยกรุงศรีอยุทธยาแผ่ขยายอำนาจลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช จึงทำให้มีเขตแดนติดต่อกับรัฐในแหลมมลายู จึงพบว่ามีความสัมพันธ์กับรัฐมลายูหลายด้าน ทั้งการศึกสงครามที่คุกคามรัฐในคาบสมุทรมลายูอย่าง ปาตานี มะละกา สมุทร-ปาไซ จนปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถระบุว่ามี เมืองอุยองตะหนะ (มาจาก อุยงคตนะ หมายถึงแผ่นดินปลายแหลมมลายู) เมืองมลากา เมืองมลายู เป็นประเทศราชถวายดอกไม้ทองดอกไม้เงิน และในสมัยยุทธยาตอนกลางก็ปาตานี สงขลา ไทรบุรี ยอมส่งบรรณาการให้การยอมรับอำนาจของอยุทธยาด้วย
ซึ่งเมื่อพิจารณาตามหลักฐานแล้ว พบว่าข้าราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์เหน็บกริชเป็นเครื่องยศจริง
โดยปกติ คนไทยสมัยโบราณนิยมพกมีดเหน็บติดตัวสำหรับใช้งานเอนกประสงค์ทั่วไป สามารถใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้เมื่อจำเป็นเพราะหยิบใช้ได้ง่ายทันท่วงที แต่สำหรับผู้ดีมีบรรดาศักดิ์พบว่านิยมเหน็บกริชซึ่งเป็นอาวุธจากวัฒนธรรมภูมิภาคมลายูและอินโดนีเซีย แต่สันนิษฐานว่าใช้เป็นเครื่องประดับยศฐาบรรดาศักดิ์มากกว่าใช้เป็นอาวุธ
สันนิษฐานว่าวัฒนธรรมการคาดกริชน่าจะเข้ามาในดินแดนสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนต้นหรือก่อนสถาปนากรุงศรีอยุทธยาแล้ว โดยได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) อาณาจักรฮินดูที่มีศูนย์กลางอยู่บนเกาะชวาและได้แผ่ขยายอำนาจมาถึงบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบันถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เนื่องจากพบทวารบาลแกะสลักไม้บนบานประตูวัดสิงหาราม จังหวัดลพบุรี ศิลปะสมัยอยุทธยาตอนต้นถือกริชสมัยมัชปาหิต
.
เนื่องด้วยกรุงศรีอยุทธยาแผ่ขยายอำนาจลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช จึงทำให้มีเขตแดนติดต่อกับรัฐในแหลมมลายู จึงพบว่ามีความสัมพันธ์กับรัฐมลายูหลายด้าน ทั้งการศึกสงครามที่คุกคามรัฐในคาบสมุทรมลายูอย่าง ปาตานี มะละกา สมุทร-ปาไซ จนปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถระบุว่ามี เมืองอุยองตะหนะ (มาจาก อุยงคตนะ หมายถึงแผ่นดินปลายแหลมมลายู) เมืองมลากา เมืองมลายู เป็นประเทศราชถวายดอกไม้ทองดอกไม้เงิน และในสมัยยุทธยาตอนกลางก็ปาตานี สงขลา ไทรบุรี ยอมส่งบรรณาการให้การยอมรับอำนาจของอยุทธยาด้วย
กรุงศรีอยุทธยายังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัฐในคาบสมุทรมลายูทำให้มีชาวมลายูเข้ามาทำการค้าและตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งพักพิงของมุสลิมจากหมู่เกาะอินโดนีเซียอย่าง ชวา มากัสซาร์ (Makassar) หรือแขกมักกะสันจากหมู่เกาะซีลีเบส (Celebes) ซึ่งลี้ภัยมาจากการคุกคามของดัตช์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ สมัยอยุทธยาตอนกลาง
นอกจากมุสลิมจากภูมิภาคมลายูและอินโดนีเซียแล้ว ยังมี "แขกจาม" หรือชาวจามปาจากตอนใต้ของเวียดนามซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากมลายูและคาดกริชอย่างมลายู อยู่ในอยุทธยาจำนวนมาก โดยสันนิษฐานว่าถูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่ออยุทธยาทำสงครามกับกัมพูชา
ด้วยเหตุนี้ กรุงศรีอยุทธยาจึงมีชุมชนมุสลิมในเอชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่รอบพระนครหลายแห่ง เช่น ชุมชนแขกจามอยบริเวณคลองคูจาม ชุนชมแขกตานีหรือปาตานีบริเวณริมวัดลอดช่อง บ้านหัวแหลม ชุมชนแขกมลายูบริเวณปากคลองตะเคียน ชุมชนแขกชวาและแขกมักกะสันบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้คลองตะเคียนทางทิศใต้
มุสลิมกลุ่มนี้มีเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในอยุทธยา และได้เข้าไปมีบทบาททางราชการในราชสำนัก โดยถูกจัดตั้งขึ้นเป็นกรม "กรมอาสาจาม" ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะแขกจาม แต่มีมุสลิมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก ซึ่งมุสลิมกลุ่มนี้ใช้กริชเป็นอาวุธ ดังที่ปรากฏในลิลิตพยุหยาตราเพชรพวงของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า
"จามเจนพวกอาสา กริชกรีด กรายนา"
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอิทธิพลของมุสลิมกลุ่มนี้ที่นำวัฒนธรรมการใช้กริชให้แพร่หลายในกรุงศรีอยุทธยามากขึ้น จากเดิมที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยมัชปาหิตที่ชาวมลายูยังนับถือศาสนาฮินดูอยู่
ร่องรอยของกริชในสยาม พบหลักฐานเป็นกริชหลายรูปแบบทั้งกริชในจากคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย รวมถึงกริชที่คนไทยตีขึ้นเองซึ่งพบมากในภาคใต้ นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานในจิตรกรรมไทยสมัยอยุทธยาถึงรัตนโกสินทร์จำนวนมาก (ส่วนมากมักพบที่ภาพเซี่ยวกาง) แสดงภาพกริชหลากหลายสกุลช่าง ทั้งปาตานี ชวา มดูรา บูกิส สุมาตรา ซุนดัง บาหลี ฯลฯ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยรู้จักกริชหลากหลายประเภทมาตั้งแต่โบราณแล้ว
.
วัฒนธรรมการเหน็บกริชน่าจะแพร่หลายในชาวสยามทั่วไปในสมัยอยุทธยาตอนกลางเป็นอย่างช้า เพราะพบหลักฐานของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Verenigde Oost-Indische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้บันทึกเรื่องการประหารชีวิตออกหลวงมงคล (Oloangh Mancongh) ขุนนางผู้ก่อกบฏต่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชว่า เขาได้ร้องขอให้เอากริชแทงหัวใจเขาให้ตายหลังจากเพชณฆาตลงดาบไม่ถึงจุดตาย ซึ่งน่าจะสะท้อนว่ากริชเป็นอาวุธที่ใช้กันโดยทั่วไปแล้ว ถึงได้เจาะจงอาวุธชนิดนี้
.
มาถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มีการใช้งานกริชอย่างแพร่หลายทั้งพระราชวงศ์และขุนนาง และมีหลักฐานการนำเข้ากริชจากต่างประเทศอย่างชัดเจน ปรากฏในหนังสือ Du Royaume de Siam ของ ซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) ราชทูตพิเศษชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๓๐ ระบุว่า ขุนนางได้รับกริชเป็นเครื่องยศพระราชทานเช่นเดียวกับดาบ และใช้งานเหมือนมีดพก
"ส่วนมีดที่เขาเรียกว่า เหน็บ (Pen)* นั้น ใช้กันทั้งบ้านทั้งเมืองและไม่ถือว่าเป็นสาตราวุธ แม้จะใช้เป็นอาวุธได้เมื่อคราวจำเป็น ใบมีดนั้นกว้าง ๓ หรือ ๔ นิ้ว ยาวราว ๑ ฟุต. พระมหากษัตริย์พระราชทานดาบและมีดพกให้แก่ขุนนาง ขุนนางสยามเหน็บมีดพกไว้ที่เอวเบื้องซ้าย คล้อยมาข้างหน้าเล็กน้อย. ชาวปอรตุเกศเรียกมีดชนิดนี้ว่า คริสต์ (Christ) เป็นคำที่เลือนมาจาก กริช (Crid) ซึ่งชาวสยามใช้พกนั่นเอง. คำๆ นี้ยืมมาจากภาษามลายา เป็นที่นิยมกันตลอดทั่วภาคบูรพาทิศ และกริชที่ทำมาจากเมือง อะแจ (Achem) ในเกาะสุมาตรานั้น นับว่าเยี่ยมกว่าที่อื่นๆ. สำหรับดาบนั้น ตามปกติแล้วทาสผู้หนึ่งจะเชิญนำหน้าเจ้านายของตนไป โดยแบกไว้บนบ่าขวา ทำนองเดียวกับที่ (ทหารของ) เราแบกปืนเล็กยาวไว้บนไหล่ซ้ายฉะนั้น."
(* สันต์ ท. โกมลบุตร ผู้แปลวิเคราะห์ว่าควรจะสะกดผิดจากคำว่า "nep" เพราะถอกเสียงตรงกับคำว่า "เหน็บ")
นอกจากมุสลิมจากภูมิภาคมลายูและอินโดนีเซียแล้ว ยังมี "แขกจาม" หรือชาวจามปาจากตอนใต้ของเวียดนามซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากมลายูและคาดกริชอย่างมลายู อยู่ในอยุทธยาจำนวนมาก โดยสันนิษฐานว่าถูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่ออยุทธยาทำสงครามกับกัมพูชา
ด้วยเหตุนี้ กรุงศรีอยุทธยาจึงมีชุมชนมุสลิมในเอชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่รอบพระนครหลายแห่ง เช่น ชุมชนแขกจามอยบริเวณคลองคูจาม ชุนชมแขกตานีหรือปาตานีบริเวณริมวัดลอดช่อง บ้านหัวแหลม ชุมชนแขกมลายูบริเวณปากคลองตะเคียน ชุมชนแขกชวาและแขกมักกะสันบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้คลองตะเคียนทางทิศใต้
มุสลิมกลุ่มนี้มีเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในอยุทธยา และได้เข้าไปมีบทบาททางราชการในราชสำนัก โดยถูกจัดตั้งขึ้นเป็นกรม "กรมอาสาจาม" ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะแขกจาม แต่มีมุสลิมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก ซึ่งมุสลิมกลุ่มนี้ใช้กริชเป็นอาวุธ ดังที่ปรากฏในลิลิตพยุหยาตราเพชรพวงของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่า
"จามเจนพวกอาสา กริชกรีด กรายนา"
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอิทธิพลของมุสลิมกลุ่มนี้ที่นำวัฒนธรรมการใช้กริชให้แพร่หลายในกรุงศรีอยุทธยามากขึ้น จากเดิมที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยมัชปาหิตที่ชาวมลายูยังนับถือศาสนาฮินดูอยู่
ร่องรอยของกริชในสยาม พบหลักฐานเป็นกริชหลายรูปแบบทั้งกริชในจากคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย รวมถึงกริชที่คนไทยตีขึ้นเองซึ่งพบมากในภาคใต้ นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานในจิตรกรรมไทยสมัยอยุทธยาถึงรัตนโกสินทร์จำนวนมาก (ส่วนมากมักพบที่ภาพเซี่ยวกาง) แสดงภาพกริชหลากหลายสกุลช่าง ทั้งปาตานี ชวา มดูรา บูกิส สุมาตรา ซุนดัง บาหลี ฯลฯ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยรู้จักกริชหลากหลายประเภทมาตั้งแต่โบราณแล้ว
.
วัฒนธรรมการเหน็บกริชน่าจะแพร่หลายในชาวสยามทั่วไปในสมัยอยุทธยาตอนกลางเป็นอย่างช้า เพราะพบหลักฐานของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Verenigde Oost-Indische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้บันทึกเรื่องการประหารชีวิตออกหลวงมงคล (Oloangh Mancongh) ขุนนางผู้ก่อกบฏต่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชว่า เขาได้ร้องขอให้เอากริชแทงหัวใจเขาให้ตายหลังจากเพชณฆาตลงดาบไม่ถึงจุดตาย ซึ่งน่าจะสะท้อนว่ากริชเป็นอาวุธที่ใช้กันโดยทั่วไปแล้ว ถึงได้เจาะจงอาวุธชนิดนี้
.
มาถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มีการใช้งานกริชอย่างแพร่หลายทั้งพระราชวงศ์และขุนนาง และมีหลักฐานการนำเข้ากริชจากต่างประเทศอย่างชัดเจน ปรากฏในหนังสือ Du Royaume de Siam ของ ซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) ราชทูตพิเศษชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๓๐ ระบุว่า ขุนนางได้รับกริชเป็นเครื่องยศพระราชทานเช่นเดียวกับดาบ และใช้งานเหมือนมีดพก
"ส่วนมีดที่เขาเรียกว่า เหน็บ (Pen)* นั้น ใช้กันทั้งบ้านทั้งเมืองและไม่ถือว่าเป็นสาตราวุธ แม้จะใช้เป็นอาวุธได้เมื่อคราวจำเป็น ใบมีดนั้นกว้าง ๓ หรือ ๔ นิ้ว ยาวราว ๑ ฟุต. พระมหากษัตริย์พระราชทานดาบและมีดพกให้แก่ขุนนาง ขุนนางสยามเหน็บมีดพกไว้ที่เอวเบื้องซ้าย คล้อยมาข้างหน้าเล็กน้อย. ชาวปอรตุเกศเรียกมีดชนิดนี้ว่า คริสต์ (Christ) เป็นคำที่เลือนมาจาก กริช (Crid) ซึ่งชาวสยามใช้พกนั่นเอง. คำๆ นี้ยืมมาจากภาษามลายา เป็นที่นิยมกันตลอดทั่วภาคบูรพาทิศ และกริชที่ทำมาจากเมือง อะแจ (Achem) ในเกาะสุมาตรานั้น นับว่าเยี่ยมกว่าที่อื่นๆ. สำหรับดาบนั้น ตามปกติแล้วทาสผู้หนึ่งจะเชิญนำหน้าเจ้านายของตนไป โดยแบกไว้บนบ่าขวา ทำนองเดียวกับที่ (ทหารของ) เราแบกปืนเล็กยาวไว้บนไหล่ซ้ายฉะนั้น."
(* สันต์ ท. โกมลบุตร ผู้แปลวิเคราะห์ว่าควรจะสะกดผิดจากคำว่า "nep" เพราะถอกเสียงตรงกับคำว่า "เหน็บ")
ลาลูแบร์ยังกล่าวถึงการพระราชทานกริชให้หัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง ๔ คือ จมื่นไวยวรนาถ จมื่นสรรเพญ์ภักดี จมื่นศรีสรรักษ์ และจมื่นเสมอใจราช ซึ่งเป็นผู้ถวายงานใกล้ชิดไว้ว่ามีการประดับอัญมณีด้วย
"โดยหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง ๔ นายนี้มีตำแหน่งอยู่ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์อยู่เป็นเนืองนิจ จึงเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั้งหลายมาก...ดาบกับกริชที่โปรดพระราชทานแก่หัวหมื่นมหาดเล็กนี้ประดับอัญมณี"
หลักฐานชิ้นสำคัญคือภาพเขียนของคณะทูตชุดออกพระวิสุทสุนธร (ปาน) หรือ โกษาปาน ซึ่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๒๒๙ พบว่าทั้งราชทูต อุปทูต และตรีทูตต่างก็เหน็บกริชมลายู ซึ่งเพจ กริชเมืองตรัง KerisTrang ให้ข้อมูลว่าเป็นกริชศิลปะชวาตะวันออก ยุคอาณาจักรมาตาราม (Mataram) รัฐสุลต่านบนเกาะชวาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ถึง ๑๘ ร่วมสมัยกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มีด้ามลักษณคล้ายฝักข้าวโพดแกะสลักลวดลายซึ่งได้อิทธิพลฮินดูชวา
สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงคาดกริช แต่ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมอินโด-เปอร์เซีย (Indo-Persian culture - เครือข่ายวัฒนธรรมตั้งแต่เปอร์เซียหรืออิหร่านมาถึงอินเดีย) กำลังรุ่งเรืองในราชสำนักและส่งอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของอยุทธยาหลายประการรวมถึงเครื่องแต่งกายด้วย จึงมีหลักฐานว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงฉลองพระองค์อย่างอิหร่าน และคาดกริชอย่างอิหร่าน ดังที่จดหมายเหตุ "สำเภาสุลัยมาน" ของราชทูตชาวเปอร์เซียที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๒๙ ระบุว่า
"พระองค์ทรงเริ่มสวมเสื้อผ้าแบบอิหร่าน คือเสื้อคลุมตัวยาวมีลวดลายปัก สนับเพลา เสื้อเชิร์ต รองพระบาทและถุงพระบาท เมื่อข้าราชบริพารของพระองค์ทูลถามว่าพระองค์ประสงค์จะเหน็บอาวุธชนิดไหน ก็จะตรัสตอบว่า ‘อาวุธที่คนเราเหน็บควรต้องสอดคล้องกับบรรดาศักดิ์ของเขาสิ แลข้าพบว่ากริชแบบอิหร่านเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับสะเอวของข้า' แต่ทรงปฏิเสธจะสวมผ้าโพกเศียรเพราะน้ำหนักของมัน"
สอดคล้องกับรายงานของ อ็องเดร เดอล็องส์-บูโร (André Deslandes-Boureau) ผู้แทนราชบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสซึ่งได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ใน พ.ศ. ๒๒๒๓ ได้กล่าวถึงการทรงเครื่องของสมเด็จพระนารายณ์ไว้ว่า
"ฉลองพระองค์ทำด้วยแพรแดงมาจากเมืองเปอเซียมีดอกทองประปรายรูปคล้ายเสื้อแยกเก๊ต แขนเหมือนแขนเสื้อยาว ที่บาดหลวงใส่แต่ไม่มีลูกกระดุม แลยังทรงฉลองพระองค์ชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง ทำด้วยผ้ามาจากเมืองเบงกอลเปนผ้าบางโปร่ง มีลายคล้ายลูกไม้ตามตะเข็บ ข้างซ้ายทรงเหน็บกฤชด้ามทองคำฝังพลอย แลมีพระแสงดาบยี่ปุ่นฝังพลอยวางลงบนพระเพลา พระองคุลีสวมพระธำมรงค์ประดับพลอยเมล็ดใหญ่ ๆ หลายสีหลายชนิด"
สำหรับกริชเปอร์เซียของสมเด็จพระนารายณ์ น่าจะมีลักษณะเป็นมีดสั้นโค้งสองคมที่เรียกว่า "คันจาร์ (Khanjar)" ซึ่งนิยมใช้โดยแพร่หลายในโลกมุสลิมตะวันตกทั้งเปอร์เซีย ออตโตมัน มาถึงอินเดียมากกว่ากริชอย่างมลายู มีดชนิดนี้ในภาษาไทยเรียกว่า "กั้นหยั่น" ซึ่งพบหลักฐานว่าเป็นหนึ่งในเครื่องต้นที่พระมหากษัตริย์สมัยอยุทธยาตอนปลายทรงเมื่อเสด็จออกแขกเมือง
ราชสำนักอยุทธยายังรับกริชไปใช้เป็นพระแสงศัตราวุธของพระมหากษัตริย์ ปรากฏในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม (เอกสารจากหอหลวง) ระบุว่ามี "พระแสงกริช" เป็น ๑ ใน ๑๒ พระแสงที่เรียกว่า "พระแสงสิบสองราษี" ซึ่งใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยาด้วย
วัฒนธรรมธรรมการเหน็บกริชยังคงมีอยู่จนถึงหลังสมัยอยุทธยา ดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีเมืองจันทบูรนั้น "จึงทรงพระแสงกฤชแทงพังคีรีกุญชรขับเข้าทะลายประตูพังลง"
วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนสมัย ก็ยังกล่าวถึงการเหน็บกริชอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่าง เช่น บรรยายการแต่งตัวของพลายแก้วว่า "เหน็บกฤชด้ามมีศีรษะกา" (น่าจะเป็นกริชหัวนกพังกะในภาคใต้ของไทย) กล่าวถึงการพกกริชของพลายชุมพลว่า "ถือกฤชน้อยค่อยย่องไม่เหยียบแรง"
นอกจากนี้ก็มักใช้สำนวนอุปมาเกี่ยวกับกริชอยู่มาก เช่น "ลาวทองน้องรักประจักษ์จิตร ดังคมกฤชกรีดทรวงออกเป็นสอง" หรือ "สร้อยฟ้าได้ฟังให้คลั่งจิตร ดังเอากฤชมาตำที่คอหอย" หรือ "นิจจาใจเจ้าจะให้พี่เจ็บจิตร ดังเอากฤชแกระกรีดในอกผัว" ซึ่งควรอนุมานได้ว่ากริชเป็นของทั่วไปที่คนใช้ในสังคมไทยยุคนั้น
ถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่พบหลักฐานชัดเจนแล้วว่าคนภาคกลางนิยมคาดกริชอย่างในอดีต แต่ก็ยังพบว่าราชสำนักใช้กริชเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการสำหรับประมุขต่างประเทศ โดยพบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระแสงกริชไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ (Napoleon III) แห่งฝรั่งเศส และพระราชทานกริชแก่ แฟรงกลิน เพียร์ซ (Franklin Pierce) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
วัฒนธรรมการเหน็บกริชเป็นเพียงหนึ่งในวัฒนธรรมต่างประเทศจำนวนมากที่สยามรับเข้ามาประยุกต์ใช้ สะท้อนถึงความเป็นสังคมนานาชาติมีชาวต่างประเทศหลายชนชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา ก่อนที่จะเสื่อมความนิยมลงในภาคกลางหลังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คงเหลือแพร่หลายอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นหลัก
-----------------------------------------------------
"โดยหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง ๔ นายนี้มีตำแหน่งอยู่ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์อยู่เป็นเนืองนิจ จึงเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั้งหลายมาก...ดาบกับกริชที่โปรดพระราชทานแก่หัวหมื่นมหาดเล็กนี้ประดับอัญมณี"
หลักฐานชิ้นสำคัญคือภาพเขียนของคณะทูตชุดออกพระวิสุทสุนธร (ปาน) หรือ โกษาปาน ซึ่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๒๒๙ พบว่าทั้งราชทูต อุปทูต และตรีทูตต่างก็เหน็บกริชมลายู ซึ่งเพจ กริชเมืองตรัง KerisTrang ให้ข้อมูลว่าเป็นกริชศิลปะชวาตะวันออก ยุคอาณาจักรมาตาราม (Mataram) รัฐสุลต่านบนเกาะชวาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ถึง ๑๘ ร่วมสมัยกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มีด้ามลักษณคล้ายฝักข้าวโพดแกะสลักลวดลายซึ่งได้อิทธิพลฮินดูชวา
สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงคาดกริช แต่ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมอินโด-เปอร์เซีย (Indo-Persian culture - เครือข่ายวัฒนธรรมตั้งแต่เปอร์เซียหรืออิหร่านมาถึงอินเดีย) กำลังรุ่งเรืองในราชสำนักและส่งอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของอยุทธยาหลายประการรวมถึงเครื่องแต่งกายด้วย จึงมีหลักฐานว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงฉลองพระองค์อย่างอิหร่าน และคาดกริชอย่างอิหร่าน ดังที่จดหมายเหตุ "สำเภาสุลัยมาน" ของราชทูตชาวเปอร์เซียที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๒๙ ระบุว่า
"พระองค์ทรงเริ่มสวมเสื้อผ้าแบบอิหร่าน คือเสื้อคลุมตัวยาวมีลวดลายปัก สนับเพลา เสื้อเชิร์ต รองพระบาทและถุงพระบาท เมื่อข้าราชบริพารของพระองค์ทูลถามว่าพระองค์ประสงค์จะเหน็บอาวุธชนิดไหน ก็จะตรัสตอบว่า ‘อาวุธที่คนเราเหน็บควรต้องสอดคล้องกับบรรดาศักดิ์ของเขาสิ แลข้าพบว่ากริชแบบอิหร่านเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับสะเอวของข้า' แต่ทรงปฏิเสธจะสวมผ้าโพกเศียรเพราะน้ำหนักของมัน"
สอดคล้องกับรายงานของ อ็องเดร เดอล็องส์-บูโร (André Deslandes-Boureau) ผู้แทนราชบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสซึ่งได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ใน พ.ศ. ๒๒๒๓ ได้กล่าวถึงการทรงเครื่องของสมเด็จพระนารายณ์ไว้ว่า
"ฉลองพระองค์ทำด้วยแพรแดงมาจากเมืองเปอเซียมีดอกทองประปรายรูปคล้ายเสื้อแยกเก๊ต แขนเหมือนแขนเสื้อยาว ที่บาดหลวงใส่แต่ไม่มีลูกกระดุม แลยังทรงฉลองพระองค์ชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง ทำด้วยผ้ามาจากเมืองเบงกอลเปนผ้าบางโปร่ง มีลายคล้ายลูกไม้ตามตะเข็บ ข้างซ้ายทรงเหน็บกฤชด้ามทองคำฝังพลอย แลมีพระแสงดาบยี่ปุ่นฝังพลอยวางลงบนพระเพลา พระองคุลีสวมพระธำมรงค์ประดับพลอยเมล็ดใหญ่ ๆ หลายสีหลายชนิด"
สำหรับกริชเปอร์เซียของสมเด็จพระนารายณ์ น่าจะมีลักษณะเป็นมีดสั้นโค้งสองคมที่เรียกว่า "คันจาร์ (Khanjar)" ซึ่งนิยมใช้โดยแพร่หลายในโลกมุสลิมตะวันตกทั้งเปอร์เซีย ออตโตมัน มาถึงอินเดียมากกว่ากริชอย่างมลายู มีดชนิดนี้ในภาษาไทยเรียกว่า "กั้นหยั่น" ซึ่งพบหลักฐานว่าเป็นหนึ่งในเครื่องต้นที่พระมหากษัตริย์สมัยอยุทธยาตอนปลายทรงเมื่อเสด็จออกแขกเมือง
ราชสำนักอยุทธยายังรับกริชไปใช้เป็นพระแสงศัตราวุธของพระมหากษัตริย์ ปรากฏในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม (เอกสารจากหอหลวง) ระบุว่ามี "พระแสงกริช" เป็น ๑ ใน ๑๒ พระแสงที่เรียกว่า "พระแสงสิบสองราษี" ซึ่งใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยาด้วย
วัฒนธรรมธรรมการเหน็บกริชยังคงมีอยู่จนถึงหลังสมัยอยุทธยา ดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีเมืองจันทบูรนั้น "จึงทรงพระแสงกฤชแทงพังคีรีกุญชรขับเข้าทะลายประตูพังลง"
วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนสมัย ก็ยังกล่าวถึงการเหน็บกริชอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่าง เช่น บรรยายการแต่งตัวของพลายแก้วว่า "เหน็บกฤชด้ามมีศีรษะกา" (น่าจะเป็นกริชหัวนกพังกะในภาคใต้ของไทย) กล่าวถึงการพกกริชของพลายชุมพลว่า "ถือกฤชน้อยค่อยย่องไม่เหยียบแรง"
นอกจากนี้ก็มักใช้สำนวนอุปมาเกี่ยวกับกริชอยู่มาก เช่น "ลาวทองน้องรักประจักษ์จิตร ดังคมกฤชกรีดทรวงออกเป็นสอง" หรือ "สร้อยฟ้าได้ฟังให้คลั่งจิตร ดังเอากฤชมาตำที่คอหอย" หรือ "นิจจาใจเจ้าจะให้พี่เจ็บจิตร ดังเอากฤชแกระกรีดในอกผัว" ซึ่งควรอนุมานได้ว่ากริชเป็นของทั่วไปที่คนใช้ในสังคมไทยยุคนั้น
ถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่พบหลักฐานชัดเจนแล้วว่าคนภาคกลางนิยมคาดกริชอย่างในอดีต แต่ก็ยังพบว่าราชสำนักใช้กริชเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการสำหรับประมุขต่างประเทศ โดยพบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระแสงกริชไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ (Napoleon III) แห่งฝรั่งเศส และพระราชทานกริชแก่ แฟรงกลิน เพียร์ซ (Franklin Pierce) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
วัฒนธรรมการเหน็บกริชเป็นเพียงหนึ่งในวัฒนธรรมต่างประเทศจำนวนมากที่สยามรับเข้ามาประยุกต์ใช้ สะท้อนถึงความเป็นสังคมนานาชาติมีชาวต่างประเทศหลายชนชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา ก่อนที่จะเสื่อมความนิยมลงในภาคกลางหลังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คงเหลือแพร่หลายอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นหลัก
-----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
- ความสัมพันธ์ อิหร่าน-ไทย ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: ศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, 2003
- จิดาพร แสงนิล. การศึกษาชุมชนมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19-23). วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2548
- จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. บทบาทและหน้าที่ของขุนนางกรมท่าขวาในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2153-2435). วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. ตำราธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยา กับ พระวิจารณ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2493.
- ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยารวม 3 เรื่อง. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2553.
- ประชุมพงศาวดารที่ 32 เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 1. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, 2467.
- พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) จดหมายเหตุรายวันทัพ, อภินิหารบรรพบุรุษ และเอกสารอื่น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, 2551
- มองประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านศัสตราวุธ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2555
- ลาลูแบร์, ซิมอน เดอ. จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2548.
- Baker, C., Dhiravat Na Pombejra, Van Der Kraan, A.,and Wyatt, D.K.. Van Vliet' Siam. Chaing Mai: Silkworm Books, 2005
- ห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ (http://vajirayana.org/)
- https://www.greatandgoodfriends.com/gallery-weaponryขอขอบพระคุณข้อมูลจาก กริชเมืองตรัง KerisTrang
Cr:: FB WipakHistory
- จิดาพร แสงนิล. การศึกษาชุมชนมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19-23). วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2548
- จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. บทบาทและหน้าที่ของขุนนางกรมท่าขวาในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2153-2435). วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. ตำราธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยา กับ พระวิจารณ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2493.
- ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยารวม 3 เรื่อง. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2553.
- ประชุมพงศาวดารที่ 32 เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 1. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, 2467.
- พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) จดหมายเหตุรายวันทัพ, อภินิหารบรรพบุรุษ และเอกสารอื่น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, 2551
- มองประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านศัสตราวุธ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2555
- ลาลูแบร์, ซิมอน เดอ. จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2548.
- Baker, C., Dhiravat Na Pombejra, Van Der Kraan, A.,and Wyatt, D.K.. Van Vliet' Siam. Chaing Mai: Silkworm Books, 2005
- ห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ (http://vajirayana.org/)
- https://www.greatandgoodfriends.com/gallery-weaponryขอขอบพระคุณข้อมูลจาก กริชเมืองตรัง KerisTrang
Cr:: FB WipakHistory
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น