“พลาสมา (น้ำเลือด)” ช่วยชีวิตทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2
กองทัพบกสหรัฐฯ เห็นว่าพลาสมารวมถึงยาซัลฟา เพนนิซิลลิน แอทาบริน และมอร์ฟินเป็นยาที่มีประโยชน์ทางการทหารมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงปลายทศวรรษ 1930 ดร.ชาร์ลส์ ดรูว์ และผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์โคลัมเบีย นิวยอร์กซิตี้ ได้ทำการทดลองโดยใช้ส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด 55 เปอร์เซ็นต์ขององค์ประกอบทั้งหมด แทนที่จะใช้เลือกทั้งหมดในการถ่ายเลือด
ทั้งนี้ เมื่อแยกพลาสมาออกมาจากเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวของเลือดแล้ว พลาสมามีน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ และอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นโปรตีนแอลบูมิน, ไฟบริโนเจน และโกลบูลิน ทั้งหมดนี้ช่วยให้เลือดแข็งตัว ต่อสู้การติดเชื้อและรักษาความดันเลือดให้คงที่
กรมแพทย์ทหารบกของสหรัฐฯ นำเอาพลาสมาไปใช้ในการถ่ายเลือดอย่างเร่งรีบ และพบว่าข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวในการใช้มันคือเรื่องของปริมาณเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ในที่สุดสภากาชาดจึงได้จัดส่งพลาสม่า 13 ล้านยูนิตไปให้กองทัพซึ่งใช้ไปเกือบทั้งหมด จนเหลือเพียง 1.3 ล้านยูนิต
คำแนะนำส่วนใหญ่สำหรับการปรับปรุงพลาสมามุ่งเน้นไปที่การบรรจุหีบห่อและการฉีดมันเข้าเส้นเลือดของผู้ป่วย ปัญหาหนึ่งก็คือ สีของสลากและระบบการระงับใช้พลาสมาบรรจุขวด กระป๋อง และถุงที่ยืดหยุ่นได้ชั่วคราว แม้แต่กล่องที่ใช้ขนส่งพลาสม่า ก็ติดเทปสีขาวและติดสลากมากเกินไป ทำให้สไนเปอร์ของญี่ปุ่นสังเกตเครื่องหมายสีขาวบนกล่องพลาสม่าในการซุ่มยิงแพทย์ (ทหารเสนารักษ์) และผู้ป่วย ในที่สุดจึงมีการใช้สีน้ำตาลเหลืองของน้ำมันมะกอกทาบนกล่องพลาสม่าแทนอย่างเร่งด่วน
เมื่อสงครามยุติลง พลเอกดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ชมเชยสภากาชาดและผู้บริจาคเลือดที่ได้ช่วยเหลือชีวิตของพลทหารอเมริกันหลายพันนาย เขายอมรับว่าพลาสมาเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเครดิตแหล่งข้อมูล : silpa-mag.com