ชีวิตนักประพันธ์อมตะ“แผลเก่า”เกิดในราชนิกุล ตายในห้องแถว
ชีวิตนักประพันธ์อมตะ "แผลเก่า" เขียน ๓๗ เรื่อง ตายอายุ ๓๗! เกิดในราชนิกุล ตายในห้องแถวแคบๆ!!
น่าปลื้มใจแทนคนเขียน ที่คนยุคนี้ก็ยังซาบซึ้งกับนวนิยายเรื่อง "แผลเก่า" และประทับใจ "ขวัญ-เรียม" คู่พระคู่นางในเรื่อง เหมือนเป็นโรมิโอ-จูเลียตของไทย เมื่อถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หรือละครคราวใดก็จะได้รับการต้อนรับจากคนดูอย่างไม่ผิดหวัง แม้นำมาเป็นชื่อตลาดน้ำก็ยังดัง ซึ่งบทประพันธ์เรื่องนี้ได้แต่งเมื่อเกือบ ๑๐๐ ปีมาแล้ว แต่สำหรับคนที่แต่งนวนิยายอมตะนี้ไว้ ในวันที่ ๑๖ มิถุนายนนี้ตรงวันเกิดครบ ๑๑๖ ปีของเขา จึงขอชวนรำลึกถึงนักประพันธ์อมตะผู้เกิดในราชนิกุล แต่มาเป็นผู้ริเริ่มนวนิยายสำนวนลูกทุ่ง สร้างผลงานไว้ ๓๗ เรื่อง เท่ากับอายุที่เขาจากไปพอดี
"ไม้ เมืองเดิม" ผู้แต่ง "แผลเก่า" และ "แสนแสบ" เป็นนามปากกาของ ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา บิดามารดาของเขาก็คือ ม.ล.ปรี และ ม.ล.แสง พึ่งบุญ ร่วมในราชนิกุลกับ ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ หรือ เจ้าพระยารามราฆพ เจ้าของบ้านที่รัฐบาลซื้อมาทำทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบันนั่นเอง
ก้าน เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๔๘ แถววัดมหรรณพาราม ถนนตะนาว และเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมหรรณพ์เป็นโรงเรียนแรก แต่ค่อนข้างจะเป็นนักเรียนเกเรไม่เอาถ่าน หนีโรงเรียนเป็นประจำ เมื่อจบชั้นประถมที่วัดมหรรณพ์แล้ว ไปต่อมัธยมที่วัดราชบพิตร จนมาจบที่วัดบวรนิเวศ ได้เข้ารับราชการสังกัดกรมบัญชาการมหาดเล็กในราชสำนัก ร.๖ ทำอยู่ราว ๔ ปีบิดาเสียชีวิตจึงลาออกจากราชการมาทำงานส่วนตัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวัง เลยหันเข้าดื่มสุราจนติด ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิตไปในชนบทถึง ๙ ปีจึงกลับกรุงเทพฯ มีเมีย มีลูกสาว แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือหนังสือที่ติดพอๆกับเหล้า อ่านทั้งประวัติศาสตร์ โคลงกลอน พระราชนิพนธ์ ตำราวิชาการต่างๆ และไม่ใช่แค่อ่านภาษาไทย ทั้งนิยายภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ก็อ่าน
ยศ วัชรเสถียร นักประพันธ์คนดังร่วมยุคกับไม้ เมืองเดิม เขียนเล่าไว้ว่า
"วันหนึ่งข้าพเจ้าไปหาเขา เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ พอเห็นข้าพเจ้าก็ลดลงและรีบซุกเพื่อซ่อน ข้าพเจ้าถามว่าหนังสืออะไร เขาตอบว่า หนังสือบ้าๆน่ะ ข้าพเจ้าไม่เชื่อจึงถือวิสาสะเอื้อมไปหยิบมาดู พออ่านภาษาฝรั่งเศสออกอยู่บ้าง จึงรู้ว่าเขาอ่านเรื่อง ทะแกล้วทหารสามเกลอ ของ อเล็กซังซ์ ดูมาส์ ฉบับภาษาฝรั่งเศส"
ก้านมาริเป็นนักประพันธ์เมื่ออายุราว ๓๐ แล้ว โดยมีเพื่อนชื่อ เหม เวชกร ที่เคยเรียนด้วยกันที่โรงเรียนวัดมหรรณพ์และเล่นดนตรีเครื่องสายไทยอยู่ด้วยกัน ชวนให้เขียนหนังสือ ตอนนั้นเหมเข้าสู่วงการหนังสือแล้ว โดยเขียนรูปประกอบหนังสือนิยายให้โรงพิมพ์เพลินจิตต์ ก้านจึงนำประสบการณ์ชีวิตมาเขียนนวนิยายเรื่อง "เรือโยงเหนือ" แต่ไม่มีโรงพิมพ์ไหนรับซื้อ แม้กระนั้นก้านก็ยังอุสาหะเขียน "ห้องเช่าเบอร์ ๑๓" ขึ้นอีกเรื่อง ผลก็คือเหมือนเดิม จนชักอ่อนใจคิดจะหนีกรุงไปอยู่ชนบทที่ติดใจในบรรยากาศ
ขณะนั้นเหม เวชกรมีปัญหากับโรงพิมพ์ที่ทำอยู่ จึงตัดสินใจลาออกมาตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเองในชื่อ "คณะเหม" และออกหนังสือพิมพ์ราย ๑๐วัน ชวนเพื่อนเก่า ๒-๓ คนมาเป็นนักเขียน ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา ทั้งยังมี กิ่ง พึ่งบุญ ณ อยุธยา น้องชายของก้านมาเป็นคนตรวจปรู๊ฟ ต่อมาเลยเป็นนักประพันธ์ดังด้วยอีกคน ในนามปากกา สุมทุม บุญเกื้อก้านเขียนนิยายเรื่องใหม่ให้สำนักพิมพ์คณะเหมในชื่อ "ชาววัง" ใช้นามปากกาว่า กฤษณะ พึ่งบุญฤทธิ์ เป็นเรื่องหญิงรักหญิงของสาวชาววัง ซึ่งเรื่องประเภทนี้เคยเป็นกลอนโด่งดังจากสำนวนของ "คุณสุวรรณ" กวีเอกในสมัยรัชกาลที่ ๓ มาแล้วในชื่อ "หม่อมเป็ดสวรรค์" แต่ "ชาววัง" ของ กฤษณะ พึ่งบุญฤทธิ์ กลับถูกถล่มแหลกจากคนอ่านผู้หญิง ว่าดูถูกสตรี เขียนจดหมายมาด่าว่ามากมาย ทำให้ก้านท้อแท้ใจ หมดแรงจะเขียนงานต่อ
...ในครู่นั้นเองเขาได้รับความคิดขึ้นมาแล้วตบขาตัวเองฉาดใหญ่แล้วร้องไห้ขึ้นมาเฉย ๆ และพูดทั้งร้องไห้ "กูไม่ตายแล้วมึงเอ๋ย มึงเป็นเพื่อนแท้ของกูที่ไม่ทิ้งกู กูได้ทางจะตอบแทนมึงแล้ว กูไม่ต้องเข้าป่า" ผมมองเขาอย่างตื้นตันและอดน้ำตาไหลไปด้วยไม่ได้ "เพื่อนเอ๋ย ข้าขอเวลาอีกสองวันจะสร้างเรื่องใหม่ให้เอ็งตรวจ รับรองว่าเอ็งจะต้องชอบใจ...
ก้านกลับมาปั่นต้นฉบับส่งให้เหม ในฐานะบรรณาธิการ ในชื่อเรื่องว่า "แผลเก่า" เปลี่ยนนามปากกาจาก กฤษณะ พึ่งบุญฤทธิ์ ที่ช้ำมาจากเรื่อง "ชาววัง" มาใช้นามปากกา "ไม้ เมืองเดิม" จากชื่อ ก้าน และ ณ อยุธยา เมืองเก่า
นอกจากเนื้อเรื่องจะเป็นชีวิตลูกทุ่งแล้ว สำนวนที่ก้านใช้ยังเป็นลูกทุ่งขนานแท้ อ้าย อี มึง กู เอ็ง ข้า มาหมด ซึ่งยามนั้นยังไม่มีใครกล้านำมาเขียน แต่ก็เป็นการถ่ายทอดบรรยากาศชีวิตลูกทุ่งแท้ออกมาอย่างแจ่มชัดตามความเป็นจริง แม้แต่เหม เวชกร ตรวจต้นฉบับ "แผลเก่า" ก็ยังสะดุ้ง บอกกับก้านว่า
"เรื่องของมึงสำนวนมันไพร่แบบนี้ กูพิมพ์ออกไปไม่ได้หรอก"
ความสำเร็จของ "แผลเก่า" ทำให้ก้านมีกำลังใจที่จะเขียนนิยายออกมาอีกไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวของชีวิตชนบททั้งลูกทุ่งและลูกน้ำเค็ม อย่าง แสนแสบ ชายสามโบสถ์ ค่าน้ำนม รอยไถ ศาลเพียงตา เกวียนหัก สำเภาล่ม โป๊ะล่ม สินในน้ำ ล้วนแต่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นละครทั้งนั้น รวมทั้งนวนิยายประวัติศาสตร์อย่าง บางระจัน ทหารเอกพระบัณฑูร และ ขุนศึก
เหม เวชกร ได้เขียนถึงสภาพของก้านในช่วงสุดท้ายไว้ว่า
...เจ็บคราวแรกเจ้าตัวพอเขียนเองได้ อาศัยใช้ผ้าพันนิ้วทุกๆนิ้วกันความเจ็บปวด เขียนเรื่องอย่างอดทน ร่างกายจะอย่างไรก็ตาม กำลังใจยังคงที่ แกร่งกล้าคงเดิม จนมาตอนหลังโรคได้หนักถึงกับผ่ายผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก จะนั่งเขียนเองไม่ไหว จึงมีเพื่อนฝูงบางคนที่รักใคร่มาสมัครเขียนให้ โดยเจ้าตัวเป็นผู้นอนบอกด้วยปาก แต่บางคราวผู้เขียนแทนมาไม่ได้ด้วยติดธุระ ภรรยาเจ้าตัวก็เป็นผู้เขียน...
ในที่สุด ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา ก็จบชีวิตลงในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๘๕ ที่ห้องแถวแคบๆ ในวัยเพียงแค่ ๓๗ ปี ฝากผลงานไว้ ๓๗ เรื่องเท่าอายุของเขา โดยมี "ขุนศึก" นิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องยาวเป็นเรื่องสุดท้าย
ร่างของไม้ เมืองเดิม ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๘๕ แต่ผลงานของเขายังแจ่มจรัสอยู่จนถึงวันนี้
เครดิตแหล่งข้อมูล : FB เรื่องเก่าเล่าสนุก