
“โรงรับทำชำเราบุรุษ”สมัยร.5 เสียงดัง สถานทูตข้างๆไม่เป็นอันทำงาน

สยามเป็นหนึ่งในชาติที่ธุรกิจค้าประเวณีเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก นำมาซึ่งรายได้จำนวนมหาศาลแก่เจ้าของกิจการ แต่ผลกระทบอีกด้านก็ทำให้สถานทูตที่อยู่ใกล้เคียงกันทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศให้ย้ายโรงโสเภณีไปอยู่ที่อื่น
ความเฟื่องฟูของกิจการกลุ่มนี้ รัฐบาลถึงขั้นตรา "พระราชบัญญัติสัญจรโรค ร.ศ.127" เมื่อ พ.ศ. 2452 ขึ้น เพื่อควบคุมโรคติดต่อของหญิงโสเภณีเหล่านี้ รวมถึงเก็บภาษีเจ้าของกิจการซ่องโสเภณีอย่างเป็นระบบ แทนที่การออกตั๋วอนุญาตค้าประเวณีจากเจ้าภาษี
พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดให้หญิงโสเภณีต้องได้รับการตรวจโรคจากแพทย์ รวมทั้งต้องขออนุญาตประกอบอาชีพโสเภณีโดยผู้มีสิทธิขอประกอบอาชีพโสเภณีนั้นต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป และต้องเสียเงิน 12 บาทสำหรับการขอใบอนุญาตหนึ่งครั้ง ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวจะมีอายุ 3 เดือน
เมื่อดูจากค่าใบอนุญาตที่หญิงโสเภณีจะต้องจ่ายให้กับรัฐ จะเห็นว่ารายได้หญิงของโสเภณีคงไม่น้อยทีเดียว ส่วนรัฐก็มีรายได้จำนวนไม่น้อยเช่นกันจากการเก็บภาษีจากหญิงโสเภณี และโรงโสเภณีที่จะต้องเสียเงินค่าอนุญาตตั้งโรงโสเภณีในราคาครั้งละ 30 บาท ซึ่งนายโรงจะต้องขอใบอนุญาตใหม่ทุก ๆ สามเดือน เช่นเดียวกับหญิงโสเภณี
ความเฟื่องฟูของกิจการกลุ่มนี้ รัฐบาลถึงขั้นตรา "พระราชบัญญัติสัญจรโรค ร.ศ.127" เมื่อ พ.ศ. 2452 ขึ้น เพื่อควบคุมโรคติดต่อของหญิงโสเภณีเหล่านี้ รวมถึงเก็บภาษีเจ้าของกิจการซ่องโสเภณีอย่างเป็นระบบ แทนที่การออกตั๋วอนุญาตค้าประเวณีจากเจ้าภาษี
พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดให้หญิงโสเภณีต้องได้รับการตรวจโรคจากแพทย์ รวมทั้งต้องขออนุญาตประกอบอาชีพโสเภณีโดยผู้มีสิทธิขอประกอบอาชีพโสเภณีนั้นต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป และต้องเสียเงิน 12 บาทสำหรับการขอใบอนุญาตหนึ่งครั้ง ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวจะมีอายุ 3 เดือน
เมื่อดูจากค่าใบอนุญาตที่หญิงโสเภณีจะต้องจ่ายให้กับรัฐ จะเห็นว่ารายได้หญิงของโสเภณีคงไม่น้อยทีเดียว ส่วนรัฐก็มีรายได้จำนวนไม่น้อยเช่นกันจากการเก็บภาษีจากหญิงโสเภณี และโรงโสเภณีที่จะต้องเสียเงินค่าอนุญาตตั้งโรงโสเภณีในราคาครั้งละ 30 บาท ซึ่งนายโรงจะต้องขอใบอนุญาตใหม่ทุก ๆ สามเดือน เช่นเดียวกับหญิงโสเภณี

สำเพ็ง พ.ศ. 2452 เป็นย่านการค้า และแหล่งเที่ยวกลางคืน มีสถานรื่นรมณ์เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งโรงโสเภณี โรงบ่อน และโรงสูบฝิ่น (ภาพจากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม ๒๕๕๖)
นอกจากนี้ยังกำหนดให้นายโรงที่ทำหน้าที่ดูแลโรงโสเภณีต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ชายทำหน้าที่เป็นนายโรง สิ่งหนึ่งที่กฎหมายฉบับนี้ดูจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ ความสะอาดของโรงโสเภณี โดยได้กำหนดให้บริเวณโรงโสเภณีต้องปราศจากสิ่งโสโครก รกรุงรัง และต้องปกปิดมิดชิดไม่ให้เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นข้างในโรงโสเภณีได้ และที่สำคัญโรงโสเภณีจะต้องแขวนโคมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และนี้เองเป็นที่มาของคำว่าโรงโคมเขียวโคมแดง เพราะในเวลาต่อมาแม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศว่าโรงโสเภณีจะต้องแขวนโคมสีอะไร แต่ในขณะนั้นโรงโสเภณีจำนวนมากเลือกที่จะแขวนโคมสีแดง และสีเขียวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ตามข้อกำหนดของรัฐบาล
งานประวัติศาสตร์โสเภณีในประเทศไทยอย่าง งานเรื่อง "หญิงโคมเขียว" ของเทพชู ทับทอง และงานวิทยานิพนธ์ของดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ เรื่อง "โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503" ได้กล่าวถึงสตรีชาวจีนและชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นโสเภณีในประเทศสยาม นอกเหนือจากสตรีชาวไทย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ใช่แค่ชาวจีนและญี่ปุ่นเท่านั้นที่เข้ามาเป็นโสเภณีในประเทศไทย แต่ยังมีชาวตะวันตกที่เข้าประกอบอาชีพดังกล่าว และดูเหมือนว่าโรงโสเภณีที่มีสตรีชาวตะวันตกมาให้บริการนี้ ดูจะครึกครื้นมีแขกมาใช้บริการกันไม่ขาดสาย จนเป็นเหตุให้ทางอุปทูตเยอรมันต้องทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศให้ย้ายโรงโสเภณีแห่งนี้ไปอยู่ที่อื่น!
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2453 ดร.เรมี่ (Dr. Remy) อุปทูตเยอรมันประจำประเทศสยาม ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้ทางกระทรวงช่วยจัดการย้ายโรงโสเภณีที่อยู่ติดกับสถานทูตเยอรมันบนถนนสุรศักดิ์ออกไป เนื่องจากว่าโรงโสเภณีแห่งนี้ส่งเสียงดังรบกวนสถานทูตเป็นอย่างมากทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ทว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็พบว่า นายโรงดังกล่าวคือนางแอนนา ซาร์เนลเบอร์ (Anna Zarnelber) สตรีชาวรัสเซีย โดยได้เช่าพื้นที่ของนางฮัดจิ หวัง ชาวจีนซึ่งเป็นคนในบังคับอังกฤษเพื่อเปิดโรงโสเภณีดังกล่าว ซึ่งโรงโสเภณีนี้มีหญิงโสเภณีทั้งหมด 6 คน โดย 5 คนเป็นผู้หญิงชาวรัสเซีย ส่วนอีกคนคือนางแอนนา ฟรูลานี่ (Anna Furlani) สตรีชาวอิตาเลียน
สยามซึ่งอยู่ภายใต้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาติมหาอำนาจต่าง ๆ รวมทั้งรัสเซีย จึงไม่สามารถจะบังคับให้นางซาร์เนลเบอร์ย้ายโรงโสเภณีของตนออกไปได้ตามความต้องการของอุปทูตเยอรมัน รัฐบาลทำได้เพียงส่งจดหมายร้องเรียนไปที่อุปทูตรัสเซียให้เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งทางรัสเซียได้ชี้แจงว่านางซาร์เนลเบอร์จะย้ายโรงโสเภณีของตนเองออกไปเมื่อหมดสัญญาในวันที่ 1 กันยายนปีดังกล่าว ทางรัฐบาลสยามเองจึงทำได้เพียงแต่แจ้งให้ทางอุปทูตเยอรมันทราบว่า จะต้องทนฟังเสียงอึกทึกครึกโครมของโรงโสเภณีต่อไปอีกหกเดือน! โรงโสเภณีดังกล่าวถึงจะย้ายไป
เอกสารดังกล่าวนอกจากจะทำให้เห็นความคึกคักของโรงโสเภณีที่ส่งเสียงรบกวนการทำงานของอุปทูตจนต้องร้องเรียนให้รัฐบาลสยามเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ยังทำให้เห็นว่าสตรีที่ประกอบอาชีพในสยามเวลานั้น ไม่ใช่มีแค่คนไทย จีน หรือญี่ปุ่น แต่ยังมีสตรีชาวตะวันตกอีกด้วย ซ้ำสตรีเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นนายโรงโสเภณีเสียเองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังกำหนดให้นายโรงที่ทำหน้าที่ดูแลโรงโสเภณีต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ชายทำหน้าที่เป็นนายโรง สิ่งหนึ่งที่กฎหมายฉบับนี้ดูจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ ความสะอาดของโรงโสเภณี โดยได้กำหนดให้บริเวณโรงโสเภณีต้องปราศจากสิ่งโสโครก รกรุงรัง และต้องปกปิดมิดชิดไม่ให้เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นข้างในโรงโสเภณีได้ และที่สำคัญโรงโสเภณีจะต้องแขวนโคมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และนี้เองเป็นที่มาของคำว่าโรงโคมเขียวโคมแดง เพราะในเวลาต่อมาแม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศว่าโรงโสเภณีจะต้องแขวนโคมสีอะไร แต่ในขณะนั้นโรงโสเภณีจำนวนมากเลือกที่จะแขวนโคมสีแดง และสีเขียวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ตามข้อกำหนดของรัฐบาล
งานประวัติศาสตร์โสเภณีในประเทศไทยอย่าง งานเรื่อง "หญิงโคมเขียว" ของเทพชู ทับทอง และงานวิทยานิพนธ์ของดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ เรื่อง "โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503" ได้กล่าวถึงสตรีชาวจีนและชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นโสเภณีในประเทศสยาม นอกเหนือจากสตรีชาวไทย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ใช่แค่ชาวจีนและญี่ปุ่นเท่านั้นที่เข้ามาเป็นโสเภณีในประเทศไทย แต่ยังมีชาวตะวันตกที่เข้าประกอบอาชีพดังกล่าว และดูเหมือนว่าโรงโสเภณีที่มีสตรีชาวตะวันตกมาให้บริการนี้ ดูจะครึกครื้นมีแขกมาใช้บริการกันไม่ขาดสาย จนเป็นเหตุให้ทางอุปทูตเยอรมันต้องทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศให้ย้ายโรงโสเภณีแห่งนี้ไปอยู่ที่อื่น!
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2453 ดร.เรมี่ (Dr. Remy) อุปทูตเยอรมันประจำประเทศสยาม ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้ทางกระทรวงช่วยจัดการย้ายโรงโสเภณีที่อยู่ติดกับสถานทูตเยอรมันบนถนนสุรศักดิ์ออกไป เนื่องจากว่าโรงโสเภณีแห่งนี้ส่งเสียงดังรบกวนสถานทูตเป็นอย่างมากทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ทว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็พบว่า นายโรงดังกล่าวคือนางแอนนา ซาร์เนลเบอร์ (Anna Zarnelber) สตรีชาวรัสเซีย โดยได้เช่าพื้นที่ของนางฮัดจิ หวัง ชาวจีนซึ่งเป็นคนในบังคับอังกฤษเพื่อเปิดโรงโสเภณีดังกล่าว ซึ่งโรงโสเภณีนี้มีหญิงโสเภณีทั้งหมด 6 คน โดย 5 คนเป็นผู้หญิงชาวรัสเซีย ส่วนอีกคนคือนางแอนนา ฟรูลานี่ (Anna Furlani) สตรีชาวอิตาเลียน
สยามซึ่งอยู่ภายใต้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาติมหาอำนาจต่าง ๆ รวมทั้งรัสเซีย จึงไม่สามารถจะบังคับให้นางซาร์เนลเบอร์ย้ายโรงโสเภณีของตนออกไปได้ตามความต้องการของอุปทูตเยอรมัน รัฐบาลทำได้เพียงส่งจดหมายร้องเรียนไปที่อุปทูตรัสเซียให้เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งทางรัสเซียได้ชี้แจงว่านางซาร์เนลเบอร์จะย้ายโรงโสเภณีของตนเองออกไปเมื่อหมดสัญญาในวันที่ 1 กันยายนปีดังกล่าว ทางรัฐบาลสยามเองจึงทำได้เพียงแต่แจ้งให้ทางอุปทูตเยอรมันทราบว่า จะต้องทนฟังเสียงอึกทึกครึกโครมของโรงโสเภณีต่อไปอีกหกเดือน! โรงโสเภณีดังกล่าวถึงจะย้ายไป
เอกสารดังกล่าวนอกจากจะทำให้เห็นความคึกคักของโรงโสเภณีที่ส่งเสียงรบกวนการทำงานของอุปทูตจนต้องร้องเรียนให้รัฐบาลสยามเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ยังทำให้เห็นว่าสตรีที่ประกอบอาชีพในสยามเวลานั้น ไม่ใช่มีแค่คนไทย จีน หรือญี่ปุ่น แต่ยังมีสตรีชาวตะวันตกอีกด้วย ซ้ำสตรีเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นนายโรงโสเภณีเสียเองอีกด้วย

เครดิต :   
 
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!

 กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
  กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























 กระทู้ล่าสุด
 กระทู้ล่าสุด


 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday