ผู้ประกันตน ม.33 รู้ทันสิทธิเบิกเงินทดแทนการขาดรายได้
พฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน การอยู่ของผู้คน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพร่างกายทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการประสบอันตรายที่ไม่อาจคาดคิดในชีวิตประจำวัน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นตัวแปรที่อาจทำให้ผู้ประกันตนเกิดอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานประกันสังคม ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการดูแลผู้ประกันตนได้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่จะคุ้มครองผู้ประกันตนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งปกติแล้วถ้าผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือมีอาการเจ็บป่วยทั่วไป สามารถใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลตามสิทธิได้ทันที รวมถึงสิทธิการฉีดวัคซีนตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่กำหนดขึ้นในแต่ละปีอีกด้วย
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่าผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่มิใช่เนื่องจากการทำงานนั้น จะต้องเป็นผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ หรือจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ก่อนเดือนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย โดยหากเป็นการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยปกติทั่วไป ผู้ประกันตนจะได้รับการรักษาพยาบาล เมื่อเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ และไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่หากผู้ประกันตนต้องหยุดพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์ในช่วง 30 วันจะได้รับเงินชดเชยการขาดรายได้จากนายจ้างก่อนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและหลังจากวันที่ 31 เป็นต้นไปจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท โดยได้รับตามใบรับรองแพทย์
ที่ระบุวันให้หยุดพักรักษาตัวครั้งละไม่เกิน 90 วัน และไม่เกิน 180 วันต่อปี เว้นแต่ผู้ประกันตนป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ไม่เกิน 365 วันต่อปี นอกจากนี้หากผู้ประกันตนป่วย
ด้วยโรคเรื้อรัง เมื่อเสียชีวิตจะได้รับค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตายเช่นเดียวกับกรณีตายตาม
สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกด้วย
สำหรับเอกสารที่ผู้ประกันตนต้องนำมายื่นในการรับเงินทดแทนขาดรายได้ ประกอบด้วย
1. แบบคำขอประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส.2-01)
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. สำเนาบัตรประกันสังคม (ต่างชาติ/ต่างด้าว)
4. สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) หรือสำเนาหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคลที่ทางราชการออกให้ (ต่างชาติ/ต่างด้าว)
5. ใบรับรองแพทย์ตัวจริงที่ระบุวันหยุดงาน
6. หนังสือรับรองของนายจ้าง เพื่อยืนยันว่าได้รับค่าจ้างในวันที่ลาป่วยครบ 30 วันใน 1 ปีปฏิทิน (ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน) และแพทย์มีคำสั่งให้หยุดงานต่ออีก
7. สถิติวันลาป่วยที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
8. สำเนาเอกสารใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
9. สำเนาสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นตัวแปรที่อาจทำให้ผู้ประกันตนเกิดอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานประกันสังคม ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการดูแลผู้ประกันตนได้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่จะคุ้มครองผู้ประกันตนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งปกติแล้วถ้าผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือมีอาการเจ็บป่วยทั่วไป สามารถใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลตามสิทธิได้ทันที รวมถึงสิทธิการฉีดวัคซีนตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่กำหนดขึ้นในแต่ละปีอีกด้วย
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่าผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่มิใช่เนื่องจากการทำงานนั้น จะต้องเป็นผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ หรือจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ก่อนเดือนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย โดยหากเป็นการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยปกติทั่วไป ผู้ประกันตนจะได้รับการรักษาพยาบาล เมื่อเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ และไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่หากผู้ประกันตนต้องหยุดพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์ในช่วง 30 วันจะได้รับเงินชดเชยการขาดรายได้จากนายจ้างก่อนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและหลังจากวันที่ 31 เป็นต้นไปจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท โดยได้รับตามใบรับรองแพทย์
ที่ระบุวันให้หยุดพักรักษาตัวครั้งละไม่เกิน 90 วัน และไม่เกิน 180 วันต่อปี เว้นแต่ผู้ประกันตนป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ไม่เกิน 365 วันต่อปี นอกจากนี้หากผู้ประกันตนป่วย
ด้วยโรคเรื้อรัง เมื่อเสียชีวิตจะได้รับค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตายเช่นเดียวกับกรณีตายตาม
สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกด้วย
สำหรับเอกสารที่ผู้ประกันตนต้องนำมายื่นในการรับเงินทดแทนขาดรายได้ ประกอบด้วย
1. แบบคำขอประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส.2-01)
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. สำเนาบัตรประกันสังคม (ต่างชาติ/ต่างด้าว)
4. สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) หรือสำเนาหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคลที่ทางราชการออกให้ (ต่างชาติ/ต่างด้าว)
5. ใบรับรองแพทย์ตัวจริงที่ระบุวันหยุดงาน
6. หนังสือรับรองของนายจ้าง เพื่อยืนยันว่าได้รับค่าจ้างในวันที่ลาป่วยครบ 30 วันใน 1 ปีปฏิทิน (ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน) และแพทย์มีคำสั่งให้หยุดงานต่ออีก
7. สถิติวันลาป่วยที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
8. สำเนาเอกสารใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
9. สำเนาสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่น
ผู้ประกันตนสามารถยื่นแบบคำขอได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ /จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วน 1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง หรือ Line ID: @ssothai Facebook: สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และทางเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th
#Website: www.sso.go.th
#Facebook: สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
#Instagram: sso_1506
#Twitter: @sso_1506
#YouTube: สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
#Hotline: 1506 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
#LINE: @SSOTHAI
#TikTok: @SSONEWS1506เครดิตแหล่งข้อมูล : PPTVHD36
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น