คนไทยสมัยร.3 ใครเดินเยอะถือว่าเป็นบ้า คนไทยไม่ชอบเดิน?!

คนไทยไม่ชอบเดินจริงหรือ? เผยบันทึกชาวต่างชาติสมัย ร.3 บอกเดิน 800 เมตรก็โดนหาว่าบ้าแล้ว!

ประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันตลอดเวลาอย่าง "คนไทยไม่ชอบเดิน" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพจำในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าทัศนคตินี้มีมาตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว

ในบันทึกของ เฟรเดอริก อาร์เธอร์ นีล ชาวอังกฤษที่เดินทางมายังกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2383 สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงสยามในทัศนะของชาวต่างประเทศ" ว่า

"คนสยามไม่ชอบการเดิน" โดยเขาเล่าว่า ขณะที่เดินชมเมืองอยู่นั้น ได้รับความสนใจจากชาวสยามอย่างมาก จนถึงขั้นมีพ่อค้าจีนมาแสดงความเห็นใจต่อนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในยุคนั้น โดยกล่าวว่า "ฤดูมรสุมกำลังมาถึงแล้ว ฉะนั้นอากาศก็จะค่อยเย็นขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยต่าง ๆ ที่เกิดจากการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงนั้นก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น" แสดงให้เห็นว่าชาวบางกอกในยุคนั้นมองว่าการเดินเป็นเรื่องแปลกประหลาด และยังเชื่อว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม

นีลยังระบุอีกว่าคนไทยในสมัยนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิ และยังกล่าวเสริมว่า "ถ้าใครออกไปเดินเล่นคราวละครึ่งไมล์ (ประมาณ 800 เมตร) ก็จะถูกหาว่าเป็นคนบ้า" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเดินไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมยุคนั้น

เหตุผลที่คนไทยไม่ชอบเดิน
นอกจากบันทึกของนีลแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน:

สภาพอากาศ: เมืองไทยเป็นเมืองร้อนอบอ้าว การเดินกลางแจ้งเป็นเวลานานอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว

ทางเท้าที่ไม่เป็นมิตร: ในปัจจุบันทางเท้าในหลายพื้นที่ไม่เอื้อต่อการเดิน มีสิ่งกีดขวางมากมาย รวมถึงการจราจรที่แออัด

วิถีชีวิตดั้งเดิม: ในอดีตการสัญจรทางเรือเป็นเรื่องปกติ ทำให้ชาวสยามคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตริมน้ำและไม่จำเป็นต้องเดินมากนัก

ความสะดวกสบายของระบบขนส่ง: ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน การเดินทางโดยรถหรือเรือเป็นเรื่องง่าย ส่วนในปัจจุบันก็มีตัวเลือกหลากหลาย เช่น วินมอเตอร์ไซค์ รถไฟฟ้า หรือรถเมล์ ที่ทำให้คนสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว

จากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เห็นว่าทัศนคติของคนไทยที่มองว่า "การเดิน" ไม่ใช่เรื่องปกติ อาจไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ถูกหล่อหลอมมาอย่างยาวนาน