ปัญญาคือความเข้าใจ

ปัญญาคือความเข้าใจ


ปัญญาคือความเข้าใจ



พระผู้มีพระภาค ก็ยังทรงเห็น เป็นต้นไม้ ฯ

แต่ว่า "จิตของพระองค์" เป็น "กิริยาจิต"

ส่วนจิตของเรา

เป็น "กุศลจิต" หรือ "อกุศลจิต"

.

เพราะฉะนั้น

ต้องรู้ "ลักษณะของจิต"...ว่าเป็น กุศล หรือ อกุศล

หลังจาก...วิบากจิต ดับไป.

.

"วิบากจิต" ได้แก่

การเห็นสีต่างๆ ทางตา....การได้ยินเสียงต่างๆ ทางหู

การได้กลิ่นต่างๆ ทางจมูก

การรู้รสต่างๆ เช่น เปรี้ยว หวาน ฯลฯ ทางลิ้น

และ การกระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ทางกาย.


.

วิบาก ที่เกิดขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น

ทางกาย เหล่านี้....ต้องไม่ใช่ "รูป"

เพราะว่า "รูป" ไม่ใช่สภาพรู้.

.

เช่น ขณะที่หกล้ม

ความเจ็บปวดที่ปรากฏ เป็นวิบาก

เพราะเกี่ยวเนื่องกับ"รูปทางกาย"

ซึ่งมีการกระทบ แล้วก็เกิด "ความรู้สึกเจ็บปวด"

ซึ่งเป็น "ทุกขกายวิญญาณจิต"

และเป็น "วิบากอเหตุกจิต" นั่นเอง.

.

ส่วน "รูป" เช่น "ลักษณะของความหวาน" นั้น

ความหวาน...ไม่รู้อะไรเลย.!

แต่ "ลักษณะของสภาพธรรมที่รู้ว่าหวาน"

ที่กำลังปรากฏ ทางลิ้น

ลักษณะของสภาพรู้หวาน ขณะนั้น เป็นวิบากทางลิ้น

(เป็นต้น)

เพราะเหตุว่า

ขณะที่เราเจริญกุศล เช่น การฟัง "เรื่องของธรรมะ"

แล้วเกิด "ความเข้าใจ" ในสิ่งที่ได้ฟัง

ก็ไม่เหมือนกับตอนที่เรา

"เพลิดเพลินไปกับโลภะ...ความติดข้อง" อย่างเต็มที่

หลังจากได้รับ "กุศลวิบาก"

หมายความว่า

ยังมีช่วงเวลา...ที่เป็นกุศล เกิดสลับกับอกุศลได้

ในขณะที่.....ฟังพระธรรม แล้วเกิดความเข้าใจ.

.

อย่าพอใจเพียง "กุศลวิบาก" เท่านั้น

แต่ควรที่จะมี "กุศลจิต" เกิดขึ้นด้วย

เพื่อการที่ กุศลธรรม จะเจริญยิ่งขึ้นๆ

อันนี้...สำคัญมาก!

เพราะว่า "ปัญญา" ก็คือ "ความเข้าใจ"

.

เราใช้คำว่า

"วิชชา" "ญาณ" "ปัญญา" ฯลฯ

แต่ทั้งหมด ริ่มมาจาก "ความเข้าใจ"

และควรจะเป็น "ความเข้าใจ"ที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น.

.

เหมือนอย่างเช่น "ผลไม้"

เมื่อเริ่มออกดอก ก็เป็น "ดอกไม้เล็กๆ"

แล้วดอกไม้เล็กๆนั้น ก็ค่อยๆ โตขึ้นๆ

จนกระทั่ง กลายเป็น "ผลไม้เล็กๆ"

ที่ค่อยๆ โตขึ้นๆ

และกลายเป็น "ผลไม้ที่โตเต็มที่" ฉันใด

"ปัญญา" คือ "ความเข้าใจ"

ก็จะต้อง "เริ่มเกิดขึ้น" ก่อน

และต้องค่อยๆ โตขึ้นๆ ฉันนั้น



ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์