เดอะ โซดิแอค คิลเลอร์ ฆาตกรจักรราศี (ตอนที่1)



เดอะ โซดิแอค คิลเลอร์ ฆาตกรจักรราศี

                


                นี้คือสุดยอดของฆาตกรโรคจิต ที่โหดเหี้ยม ฉลาด และดวงดีสุด ๆ มันฆ่าเหยื่อจำนวนใดก็ไม่ทราบ มันเรียกตัวเองว่า
"เดอะ โซดิแอค คิลเลอร์" ฆาตกรต่อเนื่องที่เฝ้าก่อวีรกรรมอุบาทว์ในแถบ เบย์ แอเรีย เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นระยะยาวนานถึง 6 ปี เหยื่อของมันโดนทั้งมีดทั้งปืน


                เจ้าฆาตกรคนนี้ มันชอบแอบดอดไปฆ่าหนุ่มสาวที่กำลังจู๋จี๋ในรถหรือที่ลับหูลับตาชาวบ้านอย่างยิ่ง


                เมื่อมันออกปฏิบัติการ มันจะใส่ชุดดำ มีฮู้ดคลุมหัวที่ติดตรารูปวงกลม สัญลักษณ์จักรราศี เชื่อว่ามันเป็นคนฉลาดมาก มีไหวพริบสูงที่เดียว แต่มักทำอะไรไม่รอบคอบ ชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ โดยไม่รู้ว่าจะถูกจับหรือไม่


                อยู่บ่อย ๆ เลยล่ะที่มันทิ้งหลักฐานเอาไว้ ให้เห็นชัด ๆ เลยล่ะว่าข้านี้แหละเป็นคนฆ่า


                ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ บางครั้งมันก็เปิดหน้าตาของตัวเอง และเจตนาให้เหยื่อเห็นเลยแหละ ให้จำลักษณะของมันแล้วไปฟ้องตำรวจเลย


                ยิ่งกว่านั้นมันยังมีนิสัยชอบกวนประสาทด้วยการติดต่อถึงตำรวจด้วยตนเอง ส่วนใหญ่เป็นทางจดหมายทางไปรษณีย์ เขียนด้วยลายมือจริง ๆ เชียวน่ะ ถึงแม้สะกดผิด ๆ ถูกก็เถอะ แต่ก็ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีการศึกษาไม่น้อยเพราะมันเล่นคัดตอนมาจากบทละครชั้นสูงของ กิลเบิร์ต แอนด์ ซิลลิแวน เลยล่ะ  ส่วนโทรศัพท์มันก็ใช้คุยทั้งวันเลยน่ะ ไม่ใช้เครื่องเปลี่ยนเสียงด้วย


                พวกหนังสือพิมพ์กับทีวีแค่ได้ยินจดหมายจาก ซิดิแอค ก็รีบตะครุบเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ไปสู่สาธารณชน ข้อความในจดหมายก็มีรหัสลับแปลก ๆ กับคำขู่ว่าเหยื่อรายต่อไปจะเป็นใครด้วยจะเจอแจ็กพอตกับใครไม่รู้ เล่นเอาประสาทกินไปทั้งเมือง


                แต่ทว่าหลังจากตำรวจได้รับจดหมายจากโซดิแอค คิลเลอร์ ในปี 1974 การปฏิบัติการโหดของฆาตกรก็หยุดเฉย ๆ และจดหมายฉบับสุดท้าย ส่งเมื่อ 1978 ก็ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้


                แม้ฆาตกรรายนี้ แทบจะเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณชนและมีการติดต่อกับตำรวจตลอดเวลา แต่ก็จับตัวมาลงโทษก็ไม่ได้ และเชื่อเลยว่าทุกวันนี้ ถ้ามันมีชีวิตอยู่ละก็โปรดระวัง มันอาจกับมาสังหารอีกครั้งแน่!



               
              
เดวิด ฟาราเดย์ และ เบ็ตตี้ ลู เจนเซ่น


               
                
20 ธันวาคม 1968 แวลลีโฮ แคลิฟอร์เนีย


                เดวิด อาร์เธอร์ ฟาราเดอร์ วัย 17 ปี นักเรียนดีเด่นของ แวลลีโฮ ไฮสคูล วันนี้เขามีเดตครั้งแรกกับ เบ็ตตี้ ลู เจนเซ่น อายุ 16 ปี เรียนที่โฮแกน ไฮสคูล เด็กสาวที่เพิ่งครบเมื่อต้นปีนี้เอง


ทั้งคู่เป็นเด็กดีเด่น เรียนดี ความประพฤติเยี่ยม ไม่มีเรื่องด่างพร้อยให้พ่อแม่ผิดหวัง


                วันนั้นเป็นตอนเย็น เขาขับรถแรมเบลอร์ สเตชั่น แวก้อน ปี 1961 ของแม่ออกจากบ้าน เข้าสู่ถนนไฮเวย์


                ราว 2 ทุ่ม เดวิดถึงบ้านของ เบ็ตตี้ ลู และขออนุญาตให้พ่อแม่ของเธอว่า จะพาเธอไปงานคอนเสิร์ตคริสต์มาส แครอล ที่โรงเรียนเบ็ตตี้


                แต่เมื่อไปจริง ๆ เด็กหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ได้ไปตามที่บอก พวกเขาแวะบ้านเพื่อนบ้าน ขับรถไปกินอาหารริมทางบ้าง จากนั้นรถก็มุ่งหน้าไปยังเขตนอกเมืองแวลลีโฮ ตรงตามถนนเลค เฮอร์แมน เลี้ยวไปตามทางตะวันออกสู่ วอเตอร์ เวย์ เป็นเส้นทางนิยมของคู่รักที่มักจะหลบให้พ้นสายตาผู้คนเพื่อหาที่จ้ำจี้กันลำพัน


                หนุ่มน้อยจอดรถตรงบริเวณหน้าโรงสูบน้ำ เลค เฮอร์แมน เขาล็อกประตูทุกด้านแล้วเอนเบาะหน้าลง


                พวกเขากำลังจะทำเรื่องอย่างว่า



                แต่เรื่องหฤโหดกำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้!



                ห้าทุ่มห้านาที(เลขสวยดีนี้) จู่ ๆ ก็มีรถซีดานเลี้ยวลงมาทางโค้งของเนินสวนตรงมา แสงไฟส่องเข้าไปในแรมเบลอร์จนเดวิดและเบ็ตตี้ต้องหยีตา


                คนขับเปิดประตูลงมา เป็นชายผิวขาว เตี้ยล่ำเป็นมะขามข้อเดียว ใส่เสื้อกันลม สวนแว่นตา


                หนุ่มสาวชายหญิงตกใจว่านี้เรื่องอะไรกัน


                ชายร่างเตี้ยบอกให้เดวิดกับเบ็ตตี้ออกมาจากรถ และพอทั้งคู่ไม่ทำตามคำสั่ง มันชักปืนออกมาแล้วยิงเปรี้ยงเข้าที่ตัวถังรถ เพื่อข่มขวัญและบังคับวัยรุ่นหนุ่มสาวให้ลงออกจากรถทั้ง ๆ ที่ยังไม่เสร็จกิจ


                มันได้ผล เด็กสองคนกลัวจนตัวสั่น และลงออกจากรถ ชายร่างเตี้ยประชิดตัว เอาปืนจ่อหัวเดวิดแล้วลั่นไกทันที


                ปัง


                 สมองระเบิดราวกับแตงโม เดวิดล้มลง ส่งเสียงออกจากลำคอ


                สาวน้อยเบ็ตตี้คงรู้ว่าจะถึงคิวตัวเองแน่ หล่อนวิ่งหนีสุดชีวิต มันก็รีบยิงใส่แผ่นหลังเธอห้านัดซ้อน ปังๆๆๆๆ เธอตายทันที


                จนกระทั้งห้าทุ่มสิบห้า สาวเจ้าของไร่ สเตลล่า บอร์กีส ขับรถผ่านมาถึงจุดนั้น เธอเห็นร่างโชคเลือดของเดวิดและเบ้ตตี้ เธอก็รีบบึ่งไปแจ้งตำรวจถึงเหตุร้าย ตำรวจรีบมาที่เกิดเหตุ พลางเรียกวิทยุให้รถพยาบาลให้ช่วยเหลือสองคนด่วน


                เดวิดหายใจรวยรินขณะถูกหามขึ้นรถพยาบาล ส่วนเบตตี้ตายสนิทตายจมกองเลือด


                เดวิดตายระหว่างนำส่งพยาบาล


                หลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุคือ ปลอกกระสุน .22 จำนวน 9 นัด มีรอยเท้าย่ำเป็นเทือก ไม่มีร่องรอยข่มขื่นหรือแรงจูงใจของเหยื่อทั้งสองแต่อย่างใด


                เดวิด ฟาราเดย์ และ เบ็ตตี้ ลู เจนเซ่น ไม่มีศัตรู ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งใครทั้งสิ้น ตำรวจไม่รู้สาเหตุการฆาตกรรม หาไม่ได้แม้กระทั้งผู้ต้องสงสัย



              
                
ดาร์ลีน เฟอร์ริน และ ไมค์ แม็กกูว์


               
               
5 กรกฎาคม 1969 แวลลีโฮ แคลิฟอร์เนีย


                หลังวันที่เดวิด ฟาราเดย์ และ เบ็ตตี้ ลู เจนเซ่น ถูกฆ่าโหด พนักงานสาว ดาห์ลีน เฟอร์ริน ตกใจจนขวัญเสีย เธอบอกเพื่อน ๆ ว่าตนเองรู้จักเด็กสองคนนั้นดี เพราะเธอเป็นนักเรียนเก่าของ โฮแกน ไฮสคูล ที่เบ็ตตี้รุ่นน้องเรียนอยู่


                แม้ ดาร์ลีน จะอายุ 22 ปี มีลูกสาวแล้ว แต่เธอก็ยังดูวัยรุ่น เพราะเธอใส่ที่ดัดฟัง ท่าทางและน้ำเสียงยังดูเป็นวัยรุ่น และเธอมีบุคลิกชอบใกล้ชิดสนิทสนมกับคนแปลกหน้า จนเกิดเรื่องขึ้น


                ดาร์ลีนกำลังถึงฆาต มีเหตุการณ์ส่อแววว่าเธอกำลังจะตาย


                ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1969 คนเลี้ยงลูกที่ดาร์ลีนจ้างมาสังเกตเห็นผู้ชายผิวขาว รูปร่างเตี้ยล่ำมะขามข้อเดียว นั่งอยู่รถซีดานขาวที่จอดหน้าอพาร์ตเมนต์ของดาร์ลีน และมองขึ้นมา พอคนเลี้ยงเด็กบอกดาร์ลีน เธอตอบว่าชายคนนี้กำลังเฝ้ามองเธออยู่ เพราะเธอดันรู้เห็นเป็นพยานว่า เขาไปฆ่าคนไปหมาด ๆ


                วันที่ 15 มีนาคม 1969 พี่สาวดาร์ลีนนำกล่องของมาส่งให้ดาร์ลีน บอกว่ามีชายลึกลับแปลก ๆ ใส่แว่นตาวานเธอเอาของมาส่งให้ และกำชับว่าห้ามเปิดดู


                ชายคนนั้นนั่งอยู่ในรถสีขาว


                วันที่ 24 พฤษาคม 1969 ดาร์ลีนกับดีนสามี ซื้อบ้านใหม่ที่ 1300 ถนนเวอร์จีเนีย แล้วดาห์ลีนก็จัดงานขึ้นบ้านใหม่ทาสีบ้าน บ้านใหม่นี้อยู่ติดสถานีตำรวจเสียด้วยสิ แขกก็มาเยอะมากมายหลายคนช่วยกันลงมือทาสีกันอย่างสนุกสนาน


                แต่เพื่อน ๆ กลับเห็นดาร์ลีนเจ้าภาพกลับซึม ๆ เงียบขรึมผิดปกติ ท่าทางประสาท เธอบอกไม่สบาย


                ในบรรดาแขกที่มาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ กลับมีชายเตี้ยล่ำลึกลับคนหนึ่งที่เพื่อนฝูงไม่เคยเห็น  แล้วเมื่อชายเตี้ยล่ำเดินเข้ามาในบ้าน ดาร์ลีนก็ออกอาการประสาททันที หรือว่าเธอกลัวเขา เขาอาจเป็นชู้เธอก็ได้ เพื่อนๆ เธอคิด ภายหลังพี่เลี้ยงเด็กของดาร์ลีนให้การกลับตำรวจว่า ให้รีบอุ้มลูกออกจากบ้านไปซะ อย่าสบตาหรือพูดคุยกลับเขา


                วันที่ 22  มิถุนายน 1969 พี่เลี้ยงเด็กดาร์ลีนเห็นชายเตี้ยเจ้าเก่านั่งโต๊ะอาหารที่ร้านอาหารที่ดาร์ลีนทำงานอยู่ เขานั่งจ้องดาร์ลีนทำงานตั้งค่อนชั่วโมง และดาร์ลีนก็ออกอาการประสาทอีก


ดาร์ลีนบอกน้องสาวอีกคนของเธอว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า


ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามี นับวันยิ่งแย่ลงทุกวัน เขาจับได้ว่าระยะหลังนี้เธอแอบออกไปพบกลับชายคนอื่น และมักกลับดึกดื่น ๆ ส่วนใหญ่มักเข้าบ้านวันใหม่เช้าโน่น


                ตอนบ่ายของวันที่ 4 กรกฎาคม 1969 ดาร์ลีนขอสามีว่าเธอขอไปดูหนังกับ ไมค์ แม็กกูว์ เพื่อนของเธอ ที่ซานฟรานซิสโก


                เธอบอกว่าจะกลับบ้าน 4 ทุ่ม


                แต่เอาเข้าจริงแผนของดาร์ลีนกลับไม่ไปตามที่วางไว้ เธออยู่กลับน้องสาวจนกระทั้ง 4 ทุ่มในงานแสดงดอกไม้ไฟที่วันชาติที่เกาะแมร์ ในขณะกลับบ้านเธอก็จอดรถกลางคันเพื่อคุยกับผู้ชายลึกลับคนหนึ่ง


                เขาอยู่ในรถยนต์คันสีขาว!


                จากนั้นเธอก็ส่งน้องสาวกลับบ้านและก็กลับบ้านใหม่ที่ถนนเวอร์จิเนีย


                พอถึงบ้าน ลินดาสาวใช้บอกมีโทรศัพท์จากชายลึกลับคนหนึ่งโทรมาหาเธอบ่อยมาก บอกว่าตามหาดาร์ลีนตลอดเย็นจดค่ำที่เดียว


                ดาร์ลีนฟังแล้วไม่ว่าอะไร เธอออกไปข้างนอกอีกครั้ง ครั้งนี้รับไมค์ไปด้วย


                เมื่อรับไมค์ออกจากบ้านของเขา จู่ ๆ ทั้งคู่เห็นรถคันหนึ่งขับจี้ตามหลังตลอดเวลา รถคนนั้นสีอ่อนจาง ฟอลคอนรุ่นปี 58 หรือ 59 นี้แหละ ที่น่าขนลุกคือไม่ว่าไปทางไหน รถคันนั้นก็ตามมาเหมือนเงา ดาร์ลีนสลัดไม่หลุด


                ดาร์ลีนมองกระจกหลังอย่างกังวล


                จนถึงที่สุด เธอตัดสินใจจอดรถที่ลานจอดที่ว่างเปล่าของ บลู ร็อค สปริงก์ กอล์ฟ และดับไฟหน้ารถทันที


                รถคันนั้นก็จอดห่างจากรถดาร์ลีนไม่กี่ฟุต และมันก็ดับไฟราวกับว่าเป็นการล้อเลียน ทั้งดาร์ลีนและไมค์นั่งตัวแข็ง ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นในวินาทีต่อไปนี้


                พระเจ้า ช่วยลูกด้วย


                จู่ ๆ รถคันนั้นก็สตาร์ตดังลั่น ขับออกจากลานจอดรถด้วยความเร็วสูง


                ไมค์กับดาร์ลีนหายใจโล่งอกพร้อม ๆ กัน!


                พอทั้งสองได้สติ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาขณะอารมณ์ทั้งสองไม่เข้าที่ รถคันเดิมก็แล่นมาด้านหลังของรถดาร์ลีนไฟส่องจ้าแสบตา ในตอนนั้นทั้งคู่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นรถคันเก่าเมื่อตะกี้ เธอนึกว่ารถตำรวจและเตรียมหยิบ ไอดีการ์ดบัตรประชาชน เพราะนึกว่าตำรวจมาหาเพราะเซ็กว่าพวกเขาทำอะไรกันในสถานที่แบบนี้


                ฉับพลันเมื่อแสงไฟรถคนนั้นส่องหน้า ไมค์เงยหน้าขึ้น ฉับพลันเสียงปืนทะลุเข้าใส่ใบหน้าไมค์โดนเต็ม ๆ นัดต่อมาทะลวงที่เข่าของเขา ไมค์ตัวงอด้วยความเจ็บปวด หูดับด้วยเสียงกระสุนที่ยิงแบบไม่นับ


                ดาร์ลีนก็โดนเข้าไปเก้านัด โดยสองนัดเข้าแขนขวา อีกสองนัดเข้าที่แขซ้าย ที่เหลือโดนเข้าแผ่นหลังเต็ม ๆ ยิงกันมันเลย


                ห่างออกไป จอร์ซ ไบรอันท์ ลูกชายสนามกอล์ฟ บลู ร็อค สปริงก์ ได้ยินเสียงระเบิดกระสุนหลายนัดซ้อน ตามด้วยเสียงเครื่องยนต์ขับบึ่งออกไป แต่คนศพไม่ใช้จอร์ซแต่เป็นวัยรุ่นที่ขับรถมาที่นี้ เพื่อตามหาเพื่อนหลงฝูง


                พอเห็นคนถูกยิงพะงาบ ๆ อยู่ในรถ เด็กกลุ่มนี้โทรแจ้งตำรวจทันที


                รถตำรวจมาช้าหน่อย เพราะใจเย็นแบบหวานเย็น เพราะนึกว่าเด็กได้ยินเสียงพลุวันชาติ แต่พอมาถึงที่เกิดเหตุ ก็รีบแจ้งกำลังเสริม ด่วนโว๊ย มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น


                จอร์ซและกลุ่มวัยรุ่นกำลังช่วยผู้บาดเจ็บ เพราะทั้งสองยังมีลมหายใจอยู่


                ไมค์กับดาร์ลีนยังมีลมหายใจพวกเขาบาดเจ็บสาหัสและกำลังทนทุรายทรมานสุดขีดราวตกนรก ดูก็รู้อาการหนักมากและทรุดลงทุกขณะ ท่าจะไม่รอดคืนนี้เป็นแน่แท้


                หวอ ๆ ๆ


                รถฉุกเฉินเปิดไซเรนโหยหวนลั่น ดาร์ลีน เฟอร์ริน ถูกประกาศว่าเสียชีวิตเวลาตีสอง


                พอถึงตีสองเช่นกัน ตำรวจที่สถานีแวลลีโฮได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่ง เขารายงานการฆาตกรรมสองรายซ้อน เขาบอกทางไปลานจอดรถที่สนามกอล์ฟ และอาวุธที่สังหารคือ ปืนลูเกอร์ 9 มม. และพูดตบท้ายว่า


                "ผมฆ่าเด็กสองคนเมื่อปีกลายด้วยล่ะ!"


                ตำรวจพบว่าต้นสายโทรศัพท์นี้โทรมาจากข้างสถานีนี้เอง และจากตู้โทรศัพท์สาธารณะสามารถมองเห็นบ้านใหม่ดาร์ลีนชัดแจ๋วเลย!"


                และตอนโทรศัพท์อยู่ ยังมีพยานอุตสาห์เห็นด้วยน่ะว่า ชายที่โทรศัพท์เป็น คนเตี้ย ล่ำมะขามข้อเดียวอีก


               


                จดหมายฉบับแรก รหัสลับ


                
                
31 กรกฎาคม 1969 มีจดหมายประหลาดส่งมาที่สำนักพิมพ์ เดอะ ซานฟรานซิสโก เอ็กซ์แซมิเมอร์ เดอะ ซานฟรานซิสโก โคลนิเคิล และ เดอะ แวลลีโฮ ไทมส์ เฮอราล์ด


                จดหมายแต่ละฉบับอ้างว่า เขาคือฆาตกรแห่งแวลลีโฮ


                แต่ละฉบับมีรหัสลับบางอย่างถูกเขียนแบ่งฉบับล่ะเศษหนึ่งส่วนสาม มีคำสั่งกำชับว่าให้สงสัยลักษณ์นี้ในส่วนของตน บนหน้าหนึ่งตีพิมพ์ให้พร้อม ๆ กันด้วย


                ถ้าไม่ทำหรือเมินเฉย มันจะฆ่าเหยื่อรายใหม่ทันที ไม่ใช้รายเดียว มันจะฆ่าไปเรื่อย ๆ


                ข้อความในจดหมายที่ส่งไปให้มีดังต่อไปนี้


                เรียน บรรณาธิการที่รัก


                ผมคือฆาตกรที่ฆ่าเด็กวัยรุ่นสองคนในวันคริสต์มาสที่ผ่านมา และฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อ 4 กรกฎาคม วันชาติ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ ผมจะบอกข้อมูลบางอย่าง ที่ตัวผม้องกับตำรวจเท่านั้นที่ทราบ


                คริสต์มาส


1.       ผู้หญิงใส่กางเกงชั้นในลายดอก (แอบเปิดดูตอนไหนนี้)


2.       ผู้ชายถูกยิงที่หัวเข่าด้วย


3.       ชื่อยี่ห้อของแอมโมคือ เวสต์เทิร์น


                นี้คือรหัสที่เป็นส่วนหนึ่งในสามเท่านั้นที่ผมส่งไปให้เอ็กซ์แซมิเมอร์และเอสเอฟโครนิเคล


                ผมต้องการให้คุณพิมพ์รหัสนี้บนหน้าหนึ่งหน้าแรกของหนังสือพืมพ์ของคุณบ่ายวันศุกร์ 1 สิงหาคม 1969 ถ้าคุณไม่ทำ ผมจะฆ่ายกใหญ่ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ตลอดสุดสัปดาห์ทีเดียว ผมจะวนไปเรื่อย ๆ และเลือกคนที่อยู่ลำพัง ผมจะฆ่า ฆ่าจนได้ศพครบหนึ่งโหลในสุดสัปดาห์นี้


จากนั้นก็ต่อด้วยอักษรที่เขียนเป็นแถวยาว


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์