ของหวานเหมาะกับวัย ห่างไกลโรค

ของหวานเหมาะกับวัย ห่างไกลโรค

ของหวานเหมาะกับวัย ห่างไกลโรค


ด้วยรสอร่อยหวานลิ้น ทำให้ของหวานมีอิทธิพลต่อการบริโภคของคนไทย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลเสียกับร่างกายได้ ดังนั้นการเลือกทานของหวานให้เหมาะกับวัย จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและปราศจากโรคภัยที่จะเข้ามากล้ำกราย

วัยเด็กถึงวัยรุ่น (แรกเกิด - 20 ปี): ของหวานจำเป็นหรือเป็นโทษต่อร่างกาย
               ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัย รุ่นวัยเรียนมักอดใจไม่ไหวกับของหวานที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ปัจจุบันเด็กและวัยรุ่นไทยเกือบครึ่งบริโภคน้ำตาลเกิน 10 ช้อน ยิ่งไปกว่านั้น จากผลการวิจัยยังพบว่า เด็กที่รับประทานของหวานทุกวันและเกินปริมาณที่กำหนด มีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว และอารมณ์ร้าย ไม่เพียงเท่านั้น การที่เด็กส่วนใหญ่ได้รับน้ำตาลในปริมาณมากและบ่อยจนเกินไป ยังส่งผลให้ต้องการอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากสมองหลั่งสารที่ชื่อว่า โอปิออยด์ (Opioid) ทำให้เกิดความพอใจและอยากกินหวาน กลายเป็นโรคฟันผุ โรคอ้วน โรคเบาหวานได้ แต่ในขณะเดียวกันของหวานก็ช่วยให้เด็กๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ได้ดี ถ้าบริโภคในปริมาณที่เล็กน้อย

               การรับประทานของหวานอย่าง เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก ซึ่งสัดส่วนของพลังงานที่ควรได้รับจากขนมหวานไม่ควรเกินร้อยละ 20 ของพลังงานที่ได้รับจากการรับประทานอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน โดยแนะนำให้เลือกผลไม้สด ขนมปังกรอบแบบโฮลวีท นมควรเป็นนมรสจืดเท่านั้น ไม่ควรให้ดื่มน้ำอัดลม ให้ทานไอศกรีมได้นานๆ ครั้ง ขนมหวานแบบกะทิน้อย หากอยากทานขนมขบเคี้ยว แนะนำพวกปลาเส้นหรือเมล็ดธัญพืชอบ

วัยทำงานถึงวัยผู้ใหญ่ (21 - 60 ปี): ของหวานช่วยลดความเครียดหรือเป็นกับดักน้ำตาล
               ลองมาดูกันว่าของหวานที่โปรด ปรานมีปริมาณน้ำตาลมากแค่ไหน ใน 100 กรัม ลูกอมรสสตรอเบอร์รี่มีน้ำตาล 48 กรัม ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนมีน้ำตาล 27.5 กรัม คุ้กกี้เนยมีน้ำตาล 19 กรัม ซึ่งความจริงแล้วใน 100 กรัม ควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัมจึงจะดีกับสุขภาพมากที่สุด

               ในวัยทำงานหรือวัยผู้ใหญ่นั้น ของหวานอาจไม่ได้ชวนให้ลิ้มรสเท่าในวัยเด็ก แต่ของหวานกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพราะความเคยชินและช่วยคลายเครียดจากการทำงาน หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นกับดักน้ำตาล (Sugar Trap) เพราะเมื่อรับประทานของหวานเข้าไป น้ำตาลจากของหวานจะให้ความสดชื่นเพียง 30 นาที จากนั้นเมื่อน้ำตาลในเลือดลดลงจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากในการรับประทานของหวานขึ้นอีก จนกลายเป็นวงจรที่ซ้ำๆ กันในแต่ละวัน เมื่อขาดของหวานจะรู้สึกอ่อนแรงไม่สดชื่น

               ดังนั้นจึงควรปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการบริโภคของหวานให้ดีต่อสุขภาพ อาทิ ควรเลือกผลไม้สดน้ำตาลน้อยดีกว่าในรูปแบบน้ำผลไม้ หากต้องการเติมความหวานในเครื่องดื่มให้ใช้น้ำตาลเทียม ควรทานของหวานเพียงสัปดาห์ละครั้ง ถ้าเลี่ยงไม่ได้แนะนำให้เลือกที่น้ำตาลน้อยที่สุด และตรวจสุขภาพดูปริมาณน้ำตาลในเลือดทุกปี เพื่อป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน

วัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป): โรคแทรกซ้อนเพราะการรับประทานของหวานจริงหรือไม่ เลือกของหวานอย่างไรให้อายุยืนยาว
               ของหวานกับผู้สูงอายุนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด เพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ เนื่องจากสภาวะโภชนาการของคนเรา เมื่ออายุมากขึ้นจะมีโรคเรื้อรังตามมารบกวน โดยเฉพาะหากดูแลสุขภาพไม่ดีพอ อาจทำให้ขาดสารอาหาร ภูมิต้านทานลดลง ป่วยง่าย ซึ่งการบริโภคอาหารอย่างถูกต้องสำคัญมาก

               ในผู้สูงอายุนั้น การทานของหวานมากจนเกินไปหรือไม่เลือกทาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนกลายเป็นโรคเบาหวาน และหากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อาจนำโรคแทรกซ้อนมาสู่ร่างกาย ทั้งโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นถึงร้อยละ 60 - 65 โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเป็นถึง 2 - 4 เท่า และมีโอกาสพบโรคแทรกซ้อนเรื้อรังอย่างใดอย่างหนึ่งได้ถึงร้อยละ 50

               นักวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำให้บริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี มีกากใยสูง อาทิ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นของหวานโดยใช้น้ำตาลเพียงเล็กน้อย เช่น เต้าส่วน ถั่วเขียวต้มน้ำตาล เป็นต้น

ของหวาน ตัวการทำสมองเฉื่อยภูมิต้านทานต่ำจริงหรือไม่
               ผลการวิจัยทางการแพทย์ล่าสุด ได้สรุปข้อมูลที่ค่อนข้างน่าวิตกเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลในของหวานชนิดต่างๆ ว่าทำให้ความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเปลี่ยนไปภูมิต้านทานโรคต่ำลง เมื่อบริโภคต่อเนื่องเป็นเวลานานไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ร่างกายเกิดการเผาผลาญน้ำตาลบ่อยเกินไป เร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้มีการเซื่องซึม เหนื่อยง่าย คิดช้า ไม่กระตือรือร้น ขาดประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิต

               การรับประทานของหวานในปริมาณที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั้น อาจต้องอาศัยความมีวินัยและรู้จักเลือกให้เหมาะกับวัย ที่สำคัญต้องไม่ลืมออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และพึงระลึกเสมอว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”




ขอบคุณบทความ จากธนาคารกสิกรไทย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์