ประสบการณ์จริง จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบหมอเฉพาะทาง!!


กระทู้นี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวเน็ตซึ่งมีผู้ตั้งกระทุ้นี้ขึ้นในเว็บพันทิปดอทคอม ชื่อกระทู้ว่า "แชร์ประสบการณ์ จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบเฉพาะทาง" เจ้าของกระทู้คือ คุณ defe_caola ไปดูกันเลยว่าเรื่องราวนี้เป็นยังไง หวังว่าจะเป็นกำลังใจและประโยชน์ให้กับคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย ^^

ชีวิตวัยเด็กบ้านเราไม่ค่อยมีเงิน พ่อเราขับรถจักรยานยนตร์รับจ้าง แม่เราขายของเล็กๆน้อยๆหน้าบ้านและตามตลาดนัด มีบางช่วงที่ไม่มีทุนก็เป็นลูกจ้างตามร้านอาหาร เราอาศัยกันอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ ตอนเด็กๆเราไม่มีญาติ เพราะพ่อกับแม่หนีมาด้วยกันตั้งแต่วัยรุ่นแล้วก็ตัดขาดกันไป


เราช่วยแม่ทำงานตั้งแต่จำความได้ เก็บล้าง เก็บชาม คิดเงิน เดินโพยหวย ส่งของตามบ้าน เอาของมาเร่ขายตามถนน ขายเรียงเบอร์ เอาผ้าลูกไม้มาร้อย สานที่ลวกก๋วยเตี๋ยวที่ลวกสุกี้ ปั๊มตราไก่ซองเอกสาร ฯลฯ ทำทุกอย่างให้ได้เงิน แต่ถึงอย่างนั้นบ้านเราก็ไม่เคยมีเงินเก็บ มีแต่หนี้สิน วันๆหาเงินมาได้ก็ต้องเอาไปจ่ายหนี้เก่า วันไหนไม่มีเงินแล้วเค้ามาทวง เรากับน้องต้อง แกล้งทำเป็นไม่อยู่บ้าน ทำตัวเงียบๆจนกว่าเจ้าหนี้จะไป


ส่วนใหญ่เรากลับจากรร.ถ้าไม่ได้รับของไปขายก็จะอยู่บ้านคนเดียว บางครั้งก็อยู่กับน้องสาวที่ห่างกัน5ปี แม่สอนให้เราหุงข้าว ทำงานบ้าน ให้พอช่วยเหลือตัวเองได้ เคยมีครั้งนึงที่เราทอดไข่แล้วมันไหม้ กระทะไฟลุก ดีที่มีเพื่อนบ้านมาเห็น วันนั้นเราโดนตีแทบตาย หลายครั้งที่เรากินข้าวคลุกกับซีอิ้ว เพราะแม่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ แต่คิดๆไปมันก็อร่อยดีนะ


เราเรียนประถมที่รร.วัดใกล้บ้าน ซ้อนมอเตอร์ไซค์พ่อไปรับไปส่ง เราเรียนได้ดี แม่สอนเสมอว่าต้องเรียนให้เก่งๆโตมาจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อเหมือนแม่ แม่เรียนน้อย อ่านหนังสือไม่ออก พอเรากลับจากรร.อยู่บ้านคนเดียว แม่จะกำชับไม่ให้ออกไปไหน ต้องอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ถ้าเราทำตัวดีและแม่มีเงิน เราจะได้การ์ตูนมาเป็นเพื่อนคลายเหงา ที่รร.พอสอบได้ที่1จะมีแจกเงินให้ ถ้าได้ที่1ของสายชั้นก็จะมีเงินเพิ่ม ครั้งแรกที่ได้เราดีใจมาก เป็น100บาทที่เรามีความสุขมาก กลับบ้านไปพ่อแม่ก็ชม


พอโตได้สักหน่อย เราช่วยแม่ขายของ บางครั้งขายไม่หมดก็ออกเดินขายตามสี่แยกบ้าง เดินตามถนนบ้าง คนเห็นก็ช่วยซื้อ เราทำเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน ของขายหมดเราก็กลับบ้านไว โดยส่วนใหญ่เรากลับสักสามทุ่มได้ มันเหนื่อยนะ เดินมากๆขาก็ปวด แต่ต้องทำไม่งั้นจะไม่มีเงินไว้ใช้ ค่าอาหารเดือนเดือนละ150บาท เรายังติดทางโรงเรียนไว้ตั้งหลายเดือนเลย ถ้าโดนทวงเราก็จะอายเพราะฉะนั้นก็ต้องหาเงิน จะรอขอพ่อแม่ก็มีโอกาสที่จะไม่มี พึ่งตัวเองนี่ละดีที่สุด เสื้อผ้ารองเท้าหนังสือรองเท้านักเรียน เราไม่เคยมีของใหม่ พ่อกับเเม่จะไปขอข้างๆบ้านมาให้เรา


เราชอบการเรียน เรื่องเรียนเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี เราสอบได้ที่1ทุกปีตอนประถม
มีความสุขมากที่จะได้เงินส่วนตัวไว้ใช้ เป็นตัวแทนการแข่งขันโน่นนี้นั่น ตอบปัญหา แข่งเลข เล่านิทาน ภาษาอังกฤษ สวดสรภัญญะ แข่งชนะก็ได้เงิน อาจารย์ที่ร.ร.ก็จะมาติวให้ช่วงไปแข่ง เหมือนได้เรียนพิเศษแบบ Exclusive มีแบบฝึกหัดเสริมมากมายโดยไม่ต้องซื้อเอง ถ้าช่วงที่เราทำกิจกรรมของโรงเรียนเราไม่ต้องไปช่วยที่ร้านแม่ ไม่ต้องเดินขายของ ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบนะ แต่แม่อยากให้เราไปแข่งได้ที่ดีๆมากกว่า ถ้าผ่านระดับกลุ่มโรงเรียน ก็จะได้ไประดับจังหวัด ถ้าผ่านถึงระดับภาคหรือระดับประเทศเราก็จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด ได้นอนโรงแรมที่มีแอร์ มีรูปถ่ายสวยๆ ที่สำคัญคือได้เงิน มีเงินมาใช้ส่วนตัว ซื้อหนังสือที่อยากได้ เราเสพติดและกระหายกับชัยชนะ งานโรงเรียนทางวิชาการเราลงแข่งเกือบทุกอย่าง ยกเว้นคัดลายมือกับวาดรูป ประกาศและโล่ที่ได้รวมๆกันสัก50-60ใบมั้งตอนประถม


เราสอบเข้ามัธยมในโรงเรียนหญิงล้วนแห่งนึง คนสอบมีพันกว่าคน เราได้ที่10ในนั้น เพื่อนที่โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง เพื่อนในกลุ่มพ่อแม่เป็นครู เป็นทหาร เป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นข้าราชการ แน่นอนบ้านเราจนสุด เรารับรู้ได้ถึงความแตกต่างของฐานะแม้เพื่อนคนอื่นจะไม่มีใครคิดก็เหอะ


เราเริ่มอายที่จะบอกว่าพ่อเราขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อนมัธยมไม่เคยได้มาทำงานที่บ้านซ่อมซ่อของเรา เรากลับบ้านเร็วตลอดเพราะต้องมาขายของที่ตลาดนัด กว่าจะกลับก็ดึก ค่าเทอมกับเงินไปโรงเรียนส่วนใหญ่เราหาเองใช้เอง เราไปสายประจำเพราะมันเหนื่อยมันล้ามาก เราเรียนได้3.6-3.8 เราไม่ได้เป็นที่1อีกต่อไปเมื่อมาอยู่รร.ที่ใหญ่ขึ้น บางครั้งมันก็ท้อ ในขณะที่เพื่อนๆได้ไปเรียนพิเศษ แต่เรากลับต้องมาทำงานหาเงินงกๆ เราไม่เคยได้ไปเที่ยวนอกจากทัศนศึกษากับเพื่อนเลยสักครั้ง ต้องหาข้ออ้างมากมาย เช่นพ่อแม่หวง เป็นห่วงไม่ให้ออกจากบ้าน ทั้งที่ที่จริงพ่อแม่เราปล่อยมาก อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป อยากกินไรก็กิน ตราบใดที่ไม่ได้ขอเงินพ่อกับแม่น่ะนะ



ประสบการณ์จริง จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบหมอเฉพาะทาง!!


ช่วงม5-ม6 เรารู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว เลยเข้าไปคุยกับอ.จ.ที่ปรึกษา ขอทุนการศึกษาอีกทุน (เราได้ทุนมูลนิธิโรงเรียนตั้งแต่ม.1ปีละ5,000บาทอยู่แล้ว) เราทำงานน้อยลง ช่วงก่อนสอบเอ็นทรานซ์เรากัดฟันลงเรียนพิเศษ2วิชาที่เราคิดว่ามันอ่านเองไม่ไหวแน่ๆ เงินเก็บหมื่นกว่าบาททั้งชีวิตของเราหายไป การต้องไปปิดบัญชีที่ฝากมาตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือเป็นอะไรที่ทรมานมากจริงๆ

เราเรียนสายวิทย์เพราะเรายังไม่รู้ว่าอยากทำงานอะไรกันแน่ ช่วงสอบเราลงทั้งพื้นฐานวิศวะ วัดแววความเป็นครู เราทำคะแนน ไทย สังคม ได้ดีมาก น่าจะอยู่อันดับท็อปๆประเทศ ฟิสิกส์ได้เกิน90 พื้นฐานวิศวะได้สัก70มั้ง ชีวะได้เกินขั้นต่ำมานิดหน่อย สมัยเราสอบ2ครั้ง เรามาดูว่าคะแนนเราน่าจะถึงคณะแพทย์ ก็เลยลงไว้สามอันดับแรก บอกตรงๆว่าเราไม่รู้หรอกกว่าเราชอบหรือเปล่า แต่เรารู้ว่าทางบ้านจะดีใจถ้าเราเป็นหมอ และเราคิดว่าถ้าถึงขนาดสอบได้แล้วก็น่าจะเรียนได้ ปรากฎว่าเราติดคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง เราดีใจมาก แต่ก็กังวลใจมากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าที่บ้านจะมีคนส่งเงินให้หรือเปล่า เราจะหาเงินยังไงถ้าเราอยู่ไกลๆ เราคิดถึงบ้าน เราไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลเลยเทอมเเรกของการเรียน เเม่เราต้องไปขอยืมเงินจากญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานมาจ่ายค่าเทอมให้เรา โดนปฏิเสธใส่หน้าก็มีแต่เราก็เข้าใจนะว่าบ้านเราเครดิตไม่ดี เพื่อนส่วนใหญ่เป็นเด็กพื้นที่จากโค้วต้า/เรียนดี ส่วนกลางมีจำนวนน้อย เพื่อนที่รับน้องกรุงเทพส่วนใหญ่ไปรายงานตัวด้วยเครื่องบิน ส่วนเรากับพ่อนั่งรถไฟชั้นสองไปรายงานตัว 18 ชมของรถไฟไทยมันเมื่อยมาก

เด็กคณะเเพทย์โดยส่วนใหญ่บ้านจะค่อนข้างมีเงิน เราไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่าไป การหาเพื่อนใหม่เป็นเรื่องยาก เราไม่สามารถไปเที่ยวกับเพื่อนได้เพราะเราไม่มีเงิน เเค่นั่งกินร้านนมหน้ามอเรายังไม่อยากไปเลย ดีที่อยู่ในจังหวัดที่ค่าครองชีพถูก ค่าเรียนก็ถูก ใครว่าเรียนคณะแพทย์ต้องมีเงินมันไม่จริงเสมอไปนะ ค่าธรรมเนียมเรียนในแต่ละปีเสียไม่เกิน20,000 ค่าหอเทอมละ3,000รวมน้ำไฟ บังคับอยู่หอทุกคนตอนปีหนึ่ง ค่าข้าวที่โรงอาหารกลาง จานละ12-15บาท(สมัยเรานะ) น้ำ5บาท ช่วงก่อนกยศ.ออกเราได้เงินจากที่บ้านเดือนละสองพัน ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ไม่ครบ กินเเต่ข้าวใต้หอกับโรงอาหาร

ข้อดีของการเรียนคณะเเพทย์ที่เราคือการรับน้อง คือมันดีมาก!! ข้าวฟรีทุกเย็น วันเฟรชชี่ไนท์ก็จะมีพี่เอาขนมมาให้เยอะเเยะหอบสองมือไม่หมด เวลาเข้าห้องเชียร์ก็จะมีข้าวห่อๆให้ เราไม่เคยโดดซ้อมเชียร์เลย ช่วยประหยัดเราได้เยอะเลย พี่แต่ละปีก็จะพาไปเลี้ยงบ่อย ช่วงไหนไม่มีเงินก็เอาขนมที่พี่ให้มาเป็นเสบียงยามยาก กินเเทนข้าว ปีหนึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่ต้องใช้เงินซื้อtextbookเยอะ 2,000นี่คือเราอยู่รอดสบายๆเลยนะ

 


ประสบการณ์จริง จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบหมอเฉพาะทาง!!


ออยากบอกเด็กที่บ้านไม่ค่อยมีเงินว่า อย่ากลัวว่าเข้ามาคณะแพทย์แล้วจะไม่มีเงินเรียน คณะแพทย์มีทุนการศึกษาให้เยอะมาก เพื่อนเราทุกคนที่ขอทุนคือได้กันทุกคน คณะดูเเลเราดีมาก ขอแค่เข้ามาให้ได้ก็พอ

เราได้ทุนปีละ20,000บาทซึ่งเค้าจะแบ่งจ่ายเราเป็นรายเดือนเดือนละ2,000 รวมกับกยศ ที่ได้เดือนละ2,000บาท โดยรวมคือเราได้เดือนละ4,000 โหยมันดีมากอ่ะ อยากกินไรก็ได้กิน ไม่ต้องซื้อมาม่ามาตุนเเล้วกินซ้ำๆตอนเงินใกล้หมด ได้ออกไปกินนมกินขนมหน้ามอหลังมอบ้าง ช่วงที่เรียนมหาลัยเราแทบไม่ได้ทำงานเสริมเลย เราก็ใช้พอนะ

พอเข้าตัวคณะตอนพรีคลินิค เราสอบบ่อยมาก สอบทุกๆสองอาทิตย์ เงินส่วนใหญ่นอกจากกินก็หมดไปกับการซื้อtextbook หนังสือส่วนใหญ่ราคาแพง ยอมรับว่าซีรอกซ์มาซะมาก เราซื้อ anatomyแค่netterเล่มเดียวที่เป็นของจริง เป็นหนังสือที่เเพงที่สุดที่เคยซื้อ คือมันเครียดนะ ไหนจะเงินไม่มี คิดถึงบ้าน ไม่มีเพื่อนสนิท เวลาเขาไปเที่ยวกันเราไปไม่ได้เพราะไม่มีเงิน พอปฎิเสธบ่อยๆก็ไม่มีคนชวนละ โน้ตบุคก็อาศัยใต้หอหรือห้องสมุดเอาซึ่งมันลำบากต้องไปต่อคิวยืมใช้ ซึ่งมันเสียเวลาอ่านหนังสืออ่ะ อยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เราต้องกันเงินส่วนนึงทุกเดือนมาซื้อโน้ตบุคใช้ทำงาน เราเก็บเงินได้ครบตอนใกล้ๆปีสาม นั่นเป็นโน้ตบุคตัวเเรกที่เราเป็นเจ้าของปีสี่ปีห้าทำงานบนวอร์ด เล็คเชอร์สลับกับสอนข้างเตียง เขียนรายงานหัวหมุน ลงเวรส่วนใหญ่คือเที่ยงคืน ฝากท้องส่วนใหญ่ไว้กับอาหารโรงพยาบาล วนๆไปทุกวอร์ด งานส่วนใหญ่คือทำแล็ป เวลาราว์นก็จะอยู่ชั้นนอกของวงโคจร แต่เป็นด่านแรกๆที่อจ.จะถาม เวลาช่วงนี้ผ่านไปเร็วมาก เป็นปีแห่งการเรียนรู้จริงๆ เราได้เจอคนไข้ตัวเป็นๆ ได้เป็นเจ้าของเคสครั้งแรก โดนอัดบ้าง กินหัวบ้างทั้งจากอาจารย์จากพี่เป็นเรื่องปกติ นอกจากวิชาการก็มาเรียนรู้เอกสาร คีย์ยา เขียนservice note progress note ทะเลาะกันในกลุ่มก็เยอะ บางคนเวลาเห็นแก่ตัวก็ไม่เห็นแก่หน้าคนอื่น กั๊กความรู้ แกล้งบอกเเนวข้อสอบผิดๆ หรือกั๊กไม่ให้ข้อสอบเก่ากับคนอื่นนอกจากกลุ่มตัวเอง เเต่คนที่ดีๆก็มีนะ

ปีหกได้ทำงานเหมือนหมอจริงๆเกือบทุกอย่างภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีใบประกอบและไม่ได้เงิน เราได้วนไปตามรพ.ศูนย์ที่ทางโรงเรียนเเพทย์เราโคกันไว้ เปลี่ยนไปจังหวัดละวอร์ด ซึ่งการทำงานของรรพกับรพ.ศูนย์ค่อนข้างต่างทั้งปริมาณงาน การจัดการเอกสาร รพศูนย์จะเน้นงานservice อจและอินเทิร์นจะไม่ค่อยว่างมาสอนเรา เราต้องเรียนรู้เเละอยู่รอดให้ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งเป็นเมเจอร์วอร์ดจะยิ่งเหนื่อยมาก ข้อดีคือได้ไปเปิดหูเปิดตา เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บางครั้งทำตามตำราทุกอย่างก็ใช้ไม่ได้


อีกอย่างคือที่คณะเราจะมีข้าวเย็นให้คนที่อยู่เวรกินฟรี ช่วยประหยัดเงินได้เยอะเลย รพ.ศูนย์ส่วนใหญ่ก็จะมีข้าวexternให้กินนะ บางที่นี่คืออร่อยอ่ะ บางที่นี่คือดีมาก มีทั้งข้าวกลางวันข้าวเย็นให้ ไหนจะสตาฟพาไปเลี้ยงจัดหนักจัดเต็มอีก ไม่มีเรียนหนักแล้วน้ำหนักลดหรอก เวลาเหนื่อยก็ต้องกินไม่งั้นจะนอนไม่หลับ อยู่เวรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นอนเพราะเป็นfirstcall ต้องตื่นมาคนเเรกแล้วค่อยปลุกพี่ไปตามลำดับ จะไปนอนก่อนก็ไม่ได้งานยังไม่เสร็จ

 


ประสบการณ์จริง จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบหมอเฉพาะทาง!!


พอตอนจะจบก็ต้องเลือกว่าจะทำอะไรต่อ จะไปใช้ทุนไหมหรือจะเป็นอินเทิร์นที่มหาลัยต่อ เราไม่อยากจับฉลาก ไม่อยากพึ่งดวง เราอยากอยู่ใกล้ๆบ้านเเละอยากเรียนต่อด้วย ก็เลยเลือกเป็นแพทย์พี่เลี้ยงในรพศูนย์แห่งนึงที่สามารถสอบวุฒิบัตรได้ ข้อดีคือเราไม่ต้องไปจับสลาก ได้เรียนต่อในสาขาที่ต้องการเลย ได้บรรจุเป็นข้าราชการ ได้เงินในระดับที่พออยู่รอดได้( ในรรพจะให้เงินเดือนเหมาจ่ายรวมๆแล้วเดนท์ได้สองหมื่นนิดๆ) มันก็จะมีGapช่วงที่จบมาแล้วยังไม่ได้ว.เพื่อนส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวต่างประเทศกัน แน่นอนเราไปไม่ได้ เราแทบไม่มีเงินติดตัวเลย สิ่งเเรกที่เราทำหลังได้ว.เป็นของตัวเองคือการทำรพ.เอกชน อยู่เวรERออกOPD (ก่อนทำสัญญาเงินหมื่น) ก็พอมีเงินติดตัวนิดหน่อย ได้แบ่งให้แม่ไว้ใช้บ้าง


ช่วงทำงานเดือนเเรกๆก็ตกเบิก ได้เงินเเค่เงินเวรบางส่วนที่ใช้เงินบำรุงจ่าย เรารับเวรERที่สตาฟขายเยอะที่สุดในรุ่น เพราะเป็นแหล่งเงินที่ได้มาไวที่สุด ซึ่งมันเหนื่อยมากกับการไม่ได้นอนหลายๆวัน ไหนจะเวรวอร์ดที่ต้องอยู่อีก ERเคสก็เยอะ ต้องรับเคสจากรพชด้วย ที่เคยทำประวัติศาสตร์ไว้คือเวรดึก74 เคสตรวจคนเดียว ตอนเช้าก็ต้องไปราว์ด ไปทำงานวอร์ดต่อ

เงินตกเบิกจะได้ประมาณเดือนตุลา ซึ่งเราเริ่มทำงานตั้งแต่เม.ย เป็นหกเดือนที่ชีวิตยากลำบาก เงินที่ได้มีเเต่เงินเวรเดือนละประมาณ20,000แล้วเเต่ความถี่ในการอยู่เวร เราเรียนจบแล้วก็ต้องแบ่งเงินให้ที่บ้านใช้ ช่วยเงินค่าเทอมน้องสาว ทั้งๆที่เงินเดือน20,000นั่นละ วันที่เงินตกเบิกได้คือได้แสนนิดๆ โอ้ยยย โครตดีใจ เงินแสนเเรกในชีวิต วันนั้นนี่คือEuphoria ดอกไม้เบ่งบานในท้องทุ่ง หลังจากนั้นเงินก็เริ่มเข้าคงที่ทุกเดือนละ พอจบInt 1 ก็เป็นresidentที่รพ.ศูนย์นั่นต่ออีก3 ปี จนไปสอบได้วุฒิบัตร


เอาจริงๆเราว่าความเหนื่อย ความลำบากตอนทำงานมันน้อยมากจริงๆเมื่อเทียบกับตอนเด็ก เราเคยอยู่ในร้านอาหารโต้รุ่ง อดนอนเสิร์ฟ ล้างจานจนมือเป็นแผล ไม่มีใครสนใจ ขอเบิกเงินยังโดนไล่อย่างกับหมูกับหมา ตอนนี้เราดูเคสในห้องแอร์อดนอนบ้างได้นอนบ้างแต่ก็ไม่ได้ลำบากกายมาก ทำงานก็ได้เงิน แม้จะไม่ได้สูงแต่ก็พออยู่ได้ในระดับที่ดีกว่าคนอื่นในสังคมมาก


เราว่าเราโชคดีที่อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการศึกษา บ้านเราไม่เคยมาตัดสินเรื่องเรียนว่าเราควรหรือไม่ควรทำอะไร ตอนจบม.ต้นมีคนบอกให้เรามาเรียนสายอาชีพจะได้ทำงานได้ไวๆ แต่เราไม่ยอม เเม่ก็ไม่บังคับเรา เราอยากสายอะไรก็เรียน พ่อกับเเม่ไม่เคยว่า(รวมถึงไม่เคยชม)เรื่องเรียนเลย บอกให้เราตัดสินใจเองเเละเรียนรู้ผลลัพท์ด้วยตัวเอง


สุดท้ายนี้ ฝากทุกท่านที่เคยยืมเงินกยศเหมือนเรา ถ้ายืมเเล้วก็คืนเค้าเถอะ รุ่นน้องจะได้มีเงินไว้ใช้ต่อ ชีวิตเราถ้าไม่มีกยศ คงไม่ได้เรียนมาจนจบขนาดนี้ ส่วนตัวเราใช้หนี้กองทุนหมดตั้งแต่สองปีที่จบมาเเล้ว สงสารเด็กรุ่นต่อๆไปนะ

 


ประสบการณ์จริง จากเด็กขายของเร่จนวันที่จบหมอเฉพาะทาง!!

 
ขอบคุณที่มา ::: Pantip


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์