ระวัง....โรคอ้วนลงพุงมฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ หลังเทศกาลปีใหม่

ระวัง....โรคอ้วนลงพุงมฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ หลังเทศกาลปีใหม่


หลังเทศกาลงานเลี้ยงปลายปี ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส หรือวันปีใหม่ รวมทั้งที่กำลังจะมาถึงคือเทศกาลตรุษจีน คนส่วนใหญ่จะไปเที่ยว มีงานสังสรรค์กันอย่างต่อเนื่อง ที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ

คืออาหารที่มีเนื้อสัตว์มาก ไขมันสูง ขนมเค้ก ขนมหวาน เครื่องดื่ม น้ำอัดลม ชา กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการสูบบุหรี่และพักผ่อนน้อย เป็นที่มาของการอ่อนเพลียและสุขภาพเสื่อมโทรมลง ที่สำคัญคนส่วนใหญ่มักมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างมากหลังเทศกาลดังกล่าว การมีน้ำหนักเกินจากเกณฑ์มาตรฐาน อาจเป็นที่มาของ โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome ซึ่งโรคนี้เป็นกลุ่มปัจจัยเสี่ยงทางเมตาบอลิก ประกอบด้วย อ้วนลงพุง (ไขมันในช่องท้องมากเกิน) ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (ไตรกลีเซอไรด์สูง, เอชดีแอลคอเลสเตอ   รอลต่ำ และ แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง) ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ
 
สำหรับเกณฑ์ในการวินิจฉัยนั้น The National Cholesteral Education Program (NCEP) Adult Treatment Panel II (ATP III), American Heart association (AHA) และ The National Heart, Lung, and Blood Institute เสนอแนะว่าหากมีปัจจัยเสี่ยง 3 ใน 5 อย่างต่อไปนี้จัดเป็น  metabolic Syndrome ได้แก่
 
1.เส้นรอบวงเอวสำหรับคนเอเชีย ผู้ชายเท่ากับหรือมากกว่า 90 เซนติเมตร ผู้หญิงเท่ากับหรือมากกว่า 80 เซนติเมตร
 
2.ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 150 มก./ดล.
 
3.เอชดีแอลคอเลสเตอรอล
 
i.  ผู้ชาย-น้อยกว่า 40 มก./ดล.
 
ii. ผู้หญิง-น้อยกว่า 50 มก./ดล.
 
4.ความดันโลหิต เท่ากับหรือมากกว่า 130/85 มม.ปรอท ระดับน้ำตาลในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 100 มก./ดล.
 
 พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome เป็นฆาตกรเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง

ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กรรมพันธุ์ และการไม่ออกกำลังกาย คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ซึ่งไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถวางแผนการรับประทานอาหารด้วยการควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ถูกชนิด ปริมาณ และถูกเวลา รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น
 
แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุ  ของการเกิดโรคร้าย  ต่าง ๆ แต่ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้

ทั้งยังเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ให้การปรึกษาด้านโภชนบำบัด ได้แนะนำว่า ในสมัยก่อนนักโภชนาการส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้บริโภคทานอาหารที่มีไขมันต่ำ จนทำให้หลายคนกลัวการกินไขมัน แต่กลับบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรต   มากขึ้น บางคนไม่กินไขมันหรือกินน้อยมากจนทำให้ขาดกรดไขมันจำเป็นไปเลยก็ว่าได้ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลการวิจัยใหม่ ๆ แนะการเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดี ในปริมาณที่เหมาะสมกับพลังงานที่ใช้ไปในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงโรคได้ น้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ และสามารถนำไปใช้แทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย
 
“น้ำมันเมล็ดชา”

มีใช้ในราชวงศ์ซ้องของจีนมากว่า 2,300 ปี โดยได้มีการบันทึกคุณสมบัติด้านสุขภาพไว้ว่าช่วยลดคอเลสเตอรอล ปัจจุบันมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยถึงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเมล็ดชา พบว่าน้ำมันเมล็ดชามีสัดส่วนกรดไขมันชนิดต่าง ๆ ในปริมาณที่ดีไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก คือ มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเลอิกสูงถึง 88% มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในรูปของโอเมกา 6, 3 เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินเอ บี ดีและอีสูง ซึ่งวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันให้ นานขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือสารแคททีชิน ซึ่งเป็นสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการออกซิเดชั่นของแอลดีแอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบตัน และป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ และน้ำมันเมล็ดชา สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น น้ำสลัด ผัด ทอด หรือการหมัก เป็นต้น
 
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันจะต้องเลือกชนิดและอ่านฉลากข้อมูลโภชนา การให้ละเอียด รวมทั้งรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักผลไม้ที่มีกากใยมาก ๆ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคร้าย และห่างไกลภาวะอ้วนลงพุง
 
วิธีการกินต้านโรค-เสริมสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วนลงพุง รวมถึงโรคร้ายอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกิน ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำให้หันมาทานผักผลไม้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงโรคร้ายและสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมวัตถุดิบในการทำได้ ทั้งผัก เนื้อสัตว์ หรือชนิดของน้ำมัน ดังนั้นจึงควรทำอาหารทานเองอย่างน้อยในวันหยุด นอกจากนี้ต้องหันมาทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ซึ่งคนที่อ้วนลงพุงรวมถึงเด็กส่วนใหญ่จะไม่ชอบทานผัก เราจึงต้องช่วยกันหาวิธีและแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยอาจใช้วิธีบดผักและผลไม้ผสมลงไปในอาหารเพื่อง่ายต่อการบริโภค อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย  ถั่วต่าง ๆ บริโภคผักและผลไม้รสไม่หวาน ปริมาณที่พอเพียง ลดอาหารที่มีรสเค็ม รสหวาน นอกจากนี้ต้องควบคุมเรื่องอื่น ๆ ด้วยรวมถึงการออกกำลังกาย สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการเดิน พยายามเดินให้มากขึ้น เป็นต้น
 
เมื่อให้ความสำคัญกับอาหารการกินแล้ว เราก็ไม่ควรละเลยการ ดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายที่เหมาะสมสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงหรือปล่อยวางจากความเครียด ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส หัดมองโลกในแง่ดี เมื่อมีพลังกายแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว คุณก็จะพร้อมรับทุกสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะได้มีสุขภาพดี ตลอดปีใหม่นี้
 
ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

นายแพทย์สุรพงศ์  อำพันวงษ์.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์