Christmas in USA
อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวัน Christmas แล้ว...
หลายคนอาจจะเริ่ม shopping แล้ว และอีกหลายคนอาจจะเตรียมตัวไปฉลอง Christmas กับครอบครัว, เพื่อน, หรือแฟน... เออ! วันนี้หลังจากเครียดกับตำรามาทั้งวัน เลยนึกอยากจะมาเล่าเรื่อง “ตำนาน Christmas” ดีกว่า เผื่อว่าจะได้เป็นความรู้สำหรับคนที่นับถือศาสนาพุทธ...แต่อยากเฮฮาปาร์ตี้กับเขาด้วย...พี่ไทยเฮได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว...
ข้อมูลที่จะเล่าต่อไปนี้ก็ได้มาจากตอนเด็กๆ ได้เรียนโรงเรียนคอนแวนต์มา 12 ปี ก็เลยค่อนข้างจะสนุกสนานและเฮฮาไปกับเขาด้วย พอแต่งงานก็ได้มาฉลอง Christmas ตามธรรมเนียมของครอบครัวคุณสามีอีก ก็เลยมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเก็บเอามาเล่าสู่กันฟัง...
25 ธันวาคม หรือ 6 มกราคม?
ทั่วโลกจะฉลองวัน Christmas ในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี โดยวันนี้ทางศาสนาคริสต์ถือว่าเป็น Holy Day... แต่เชื่อหรือไม่ีว่า...สมัยก่อน (ประมาณศตวรรษต้นๆ) ได้มีการถกเถียงกันในหมู่ชาวคริสต์ว่า “เป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม” เพราะเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดของปีและเป็นไปไม่ได้ที่คนเลี้ยงแกะ (shepherd) จะต้อนฝูงแกะออกไปในวันที่อากาศหนาวและตอนกลางดึกแบบนั้น คนกลุ่มนี้เชื่อว่าวันประสูติของพระเยซูน่าจะเป็นฤดู Spring มากกว่า Winter ดังนั้นคนกลุ่มนี้ก็เชื่อว่าวัน Christmas น่าจะตรงกับวันที่ 6 มกราคมมากกว่า อย่างไรก็ตามประมุขของคริสตจักรสมัยนั้นก็ได้ประกาศให้ชาวคริสต์ฉลองวันประสูติของพระเยซูในวันที่ 25 ธันวาคม แต่ก็มีบางประเทศที่ฉลองวัน Christmas ในวันที่ 6 มกราคมนะคะ
เนื่องจากว่าวัน Christmas เป็นวันเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู นอกจากจะมีการฉลองตามพิธีการทางศาสนาแล้ว ความสนุกสนานของวัน Christmas จะเน้นที่ “เด็ก” เป็นสำคัญค่ะ
ต้นคริสต์มาส
เชื่อหรือไม่ว่าเยอรมนีเป็นชาติแรกที่ฉลอง Christmas...สมัยก่อนอังกฤษและอเมริักาห้ามฉลอง Christmas โดยเด็ดขาด ใครฉลอง Christmas จะถูกจับ ปรับ และจำคุก...อังกฤษเพิ่งมาฉลอง Christmas หลังจากที่ Queen ของอังกฤษอภิเษกสมรสกับ Prince เยอรมนี ส่วนอเมริกาฉลอง Christmas ครั้งแรกในปี 1789 (ดังนั้นวัน Thanksgiving ของอเมริกาในปี 1621 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็น “วันขอบคุณพระเจ้า” เพราะฉลองวันประสูติพระบุตรของพระเจ้ายังไม่ได้เลย...วันนั้นจึงเป็น “วันขอบคุณอินเดียนแดง” จริงๆ)
ต้นคริสต์มาสถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของวัน Christmas ก็เริ่มจากชาวเยอรมันอีกนั่นแหละ ต่อมาก็แพร่หลายไปทั่วโลก โดยทั่วไปแล้วชาวคริสต์จะจัดหาต้นคริสต์มาสมาประดับในวัน Christmas Eve (24 ธันวาคม)... แต่สำหรับครอบครัวชาวอเมริกัน (family tradition) นั้น ในวัน Thanksgiving จะเป็นวันที่ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พอวันรุ่งขี้น “คุณพ่อ” ก็จะพาคุณลูกๆ ออกไปหาต้นคริสต์มาสเพื่อมาประดับประดาในบ้านตามธรรมเนีย สมัยก่อนต้องออกไปตัดต้นไม้ในป่า แต่สมัยนี้ต้นไม้มีวางขายไปทั่วเมือง บวกกับสภาพสังคมอเมริกันที่เปลี่ยนไป บางครอบครัวก็ยังคงถือปฏิบัติแต่บางครอบครัวก็เลิกปฏิบัติไป อย่างไรก็ตามตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วต้นคริสต์มาสนี้จะประดับประดาจนถึงวันที่ 6 มกราคมค่ะ... ที่สำคัญก็คือ “หัวหน้าครอบครัว” (คุณพ่อ/คุณสามี) จะเป็นคนประดับ “ดาว” บนยอดของต้นคริสต์มาสค่ะ... บางครอบครัวพ่อบ้านไม่อยู่แม่บ้านและลูกๆ จัดหาต้นคริสต์มาสมาประดับประดา แต่ก็ต้องรอให้คุณพ่อบ้านมาประดับ “ดาว” บนยอดตามธรรมเนียม
สีของวันคริสต์มาส
มี 3 สีด้วยกัน คือ เขียว, แดง, และทอง ด้วยความเชื่อว่า “สีเขียว หมายถึง ชึวิต”, “สีแดง หมายถึง โลหิต” และ “สีทอง หมายถึง ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” ดังนั้นการตกแต่งต้นคริสต์มาสจึงนิยมประดับประดาด้วยสีสันดังกล่าว
Santa Claus
ตามตำนาน (เรื่องจริง) บอกว่า Santa Claus ตัวจริงเป็นนักบวชชื่อว่า “St. Nicholas” ซึ่งในวันคริสต์มาสทุกปี เขาจะแจกของขวัญแก่เด็กๆ ต่อมาเมื่อ Hollywood มีความคิดที่จะสร้างหนังเกี่ยวกับ Christmas ก็เลยวาดภาพของ St. Nicholas ออกมาเป็น Santa Claus ที่นุ่งชุดสีแดง หนวดเคราสีขาว เป็นคนใจดี อาศัยอยู่ North Pole มีกวางแสนรู้ชื่อ “Rudolf” (อย่างที่เพลงร้องว่า Rudolf the red-nosed reindeer น่ะค่ะ)
ธรรมเนียมคริสต์มาส
ในวัน Christmas Eve จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ครอบครัวต่างมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นธรรมดาก็ต้องมีงานเลี้ยงอย่างสนุกสนาม ตามธรรมเนียม (American family tradition) แล้วอาหารที่เลี้ยงในวัน Christmas นั้นจะมีหลักๆ คือ Roasted Ham (ใครชอบสูตรไหนก็ทำสูตรนั้น) แต่ต้องมีเค้กด้วยนะ เค้กนี้ถือเป็นเค้กวันเกิดให้กับพระเยซู (บ้านใครยังมีธรรมเนียมนี้อยู่บ้าง) เค้กในวัน Christmas จะเป็นสีขาวเท่านั้นเพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ของพระบุตร กุศโลบายของการทำเค้กก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราวของพระเยซูแก่ลูกหลานที่มาช่วยกันทำเค้ก (เด็กๆ ชอบ).... อ้อ! Candy Cane ก็จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Christmas เหมือนกัน ที่ทำเป็นรูป cane นั้นก็เพื่อระลึกถึงคนเลี้ยงแกะนั่นเองค่ะ แต่กุศโลบายจริงๆ ของ candy cane คือ นักเทศน์ต้องการให้เด็กๆ ที่มาร่วมร้องเพลงในวัน Christmas อยู่ในความสงบ (ไม่งั้นคุยกัน เล่นกัน ตามประสาเด็ก) ก็เลยได้ไอเดียเอา candy cane มาแจก เด็กๆ ก็เลยง่วนอยู่กับการกินมากว่าเล่นน่ะ...ได้ผล...ตั้งแต่นั้นมา candy cane ก็เลยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Christmas
เอาล่ะค่ะ... หากปีนี้ใครที่จะไปฉลอง Christmas แบบเฮฮา ปาร์ตี้ ก็อย่าลืมหัดร้องเพลงไว้ด้วยนะคะ เช่น เพลง “We wish you a Merry Christmas,” “Joy to the World,” etc. ส่วน จขกท. แม้จะเป็นพุทธแต่ก็ทำตาม family tradition ของคุณสามีที่ถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าค่ะ...
น่าเสียดายที่ Christmas ใน USA ปีนี้เปลี่ยนไปแล้ว... เพราะพวก liberal บอกว่าการฉลองวันChristmas เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แถมเน้นว่า "ไปสร้างความไม่พอใจให้กับชาวมุสลิมในอเมริกา" (ไม่รู้คิดได้ไงเนี่ย เขาฉลองกันมาเป็นพันๆ ปี)
ใครจะฉลอง Christmas in USA ปีนี้ก็ระวังหน่อยนะคะ...เพราะว่า...
- คุณไม่สามาถพูดคำว่า "Merry Christmas" ในโรงเรียนหรือที่ทำงานได้ คุณต้องพูดว่า "Happy Holidays"
- ไม่มีการร้องเพลงแบบ carol ตามที่สาธารณะเหมือนเมื่อก่อน
- ห้ามเรียกต้น "Christmas trees" แต่ให้เรียกว่า "Friendship trees" แทน
- ไม่มี Santa Claus, ไม่มีดาวประดับบนยอดของต้น Christmas
- ไม่มีสีเขียว แดง และทอง เป็นต้น
คิดว่าคนที่คัดค้านเรื่องนี้ คงไม่มีศาสนาในหัวใจแน่ๆ เลย ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข่าวคราวเรื่องนี้ออกมา แต่ครอบครัวอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยังคงปฏิบัติตาม tradition ต่อไปค่ะ...
Happy Holidays & Merry Christmas