13 สิ่งที่ควรรู้จาก Apple Watch

หน้าแรกTeeNee อาหารสมอง อาหารสมอง 13 สิ่งที่ควรรู้จาก Apple Watch

หลังจาก Apple ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมของ Apple Watch ไปเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา หลายคนที่ได้ติดตามการายงานสดจากแฟนเพจ aripfan อาจมีหลากหลายความรู้สึกที่แตกต่างกันไป และงานนี้จึงขอสรุปภาพรวมของ Apple Watch มาให้ทุกท่านได้ทราบกันกับ 13 สิ่งที่ควรรู้จาก Apple Watch จะเป็นอย่างไรมาชมกัน

1. Apple Watch

ใครที่อยากเป็นเจ้าของ Apple Watch สามารถสั่งจองออนไลน์ได้ทาง Apple Store Online ได้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน ศกนี้ ส่วนกำหนดวางขายจริง 24 เมษายน

2. 9 ประเทศแรกที่ได้รับสิทธิ์วางขาย Apple Watch

การวางขาย Apple Watch เหมือนกับการวางขาย iPhone ซึ่งช่วงแรง Apple ได้ประกาศ 9 ประเทศแรก ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทยต้องการยืนยันอีกครั้งว่าจะถูกจัดอยู่ในประเทศกลุ่มที่เท่าไหร่

3. ราคาของ Apple Watch

Apple Watch มีราคาถูกที่สุดอยู่ที่ 349 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,400 บาท ในรุ่น Sport ขนาด 38 มิลลิเมตร ขณะราคาที่แพงที่สุดในรุ่น Sport ขนาด 42 มิลลิเมตร ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,000 บาท ส่วนรุ่นที่แพงที่สุดของ Apple Watch เริ่มต้นที่ราคา 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ 327,000 บาท ไปจนกระทั่งถึง 17,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 555,000 บาท เศรษฐีไทยคนใดสนใจ ไม่ควรพลาด !!!

4. แบตเตอรี่ของ Apple Watch

ในการชาร์จหนึ่งครั้ง Apple ให้ข้อมูลว่าช่วยให้ Apple Watch อยู่นานสูงสุด 18 ชั่วโมง แต่การใช้งาน Apple Watch จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone และอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อแบตเตอรี่ที่หมดเร็วได้

5. Apple Watch มีสามรูปแบบให้เลือก

ได้แก่ Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Editon

6. Apple Watch แต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกัน

แบ่งได้ดังนี้ Apple Watch ที่ตัวเรือนสแตนเลสสตีล จอแซฟไฟร์, Apple Watch Sport ตัวเรือนอะลูมิเนียม จอกระจก Ion-X พร้อมสายหลากสี, Apple Watch Edition ตัวเรือนทองคำ 18 กะรัต จอภาพแซฟไฟร์

7. Apple Watch ทุกรุ่น มีปุ่มควบคุม จัดการเพียงสองปุ่มเท่านั้น

8. Apple Watch ทุกรุ่น มาพร้อมสองขนาด ได้แก่ ความสูง 38 มิลลิเมตร หรือ 1.5 นิ้ว และ 42 มิลลิเมตร หรือ 1.7 นิ้ว

9. Apple Watch จำเป็นต้องเชื่อมกับ iPhone

แม้จะดูมีความหรูหรา โดดเด่นสมกับความเป็น Apple แต่ Apple Watch ก็ยังจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone 5 ขึ้นไป และทันทีที่ผู้ใช้ iPhone อัพเดตระบบปฏิบัติการมาใช้ iOS 8.2 ก็จะพบกับไอคอน Apple Watch สำหรับการควบคุม จัดการ โหลดแอพพลิเคชันสำหรับ Apple Watch โดยเฉพาะ

10. Apple Watch แต่ละรุ่น มีตัวเรือนให้เลือก 2 สี

ในรุ่น Apple Watch มีตัวเรือนสองสี ได้แก่ สแตนเลสสตีล และ สแตนเลสสตีลสีดำ, Apple Watch Sport ตัวเรือนมีสองสี ได้แก่ สีเงินอะลูมิเนียม และสีเทาอะลูมิเนียม ส่วน Apple Watch Editon ตัวเรือนสองสี ได้แก่ สีเยลโลว์โกลด์ กับสีโรสโกลด์

11. Apple Watch ทุกรุ่นสามารถเปลี่ยนสายได้ถึง 6 แบบ

– สายแบบ Sport Band หลากสี

– สายแบบ Classic Buckle

– สายแบบ Milanede Loop

– สายแบบ Leather Loop

– สายแบบ Modern Buckle

– สายแบบ Link Bracelet

12. Apple Watch กับการใช้งานด้านต่างๆ

– Apple Watch มีเซนเซอร์สำหรับสุขภาพ ได้แก่ Heart ate sensor สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ กับ Accelerometer ใช้ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือการนับก้าว และเซนเซอร์ด้านสุขภาพอื่นๆ

– Apple Watch สามารถใช้แทนคีย์การ์ดในการใช้งานร่วมกับโรงแรม W Hotels ในสหรัฐอเมริกาได้ และทำงานร่วมกับ SmartHome สำหรับล็อคบ้านได้

– Apple Watch มีลำโพงและไมโครโฟนในตัว สามารถรับสาย iPhone ได้

– Apple Watch รองรับ Apple Pay, Siri (เพียงยกข้อมือขึ้น พร้อมพูดว่า “Hey Siri ก็สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้แล้ว”), Passbook, เป็นอุปกรณ์ฟังเพลง, ถ่ายภาพได้, แผนที่นำทาง

– Apple Watch รองรับแอพ WeChat ส่งสติ๊กเกอร์ได้ด้วย และเล่น IG ได้ด้วย

– Apple Watch รองรับการเรียก Uber โดยไม่ต้องใช้ iPhone

– Apple Watch มีความสามารถในการกันน้ำแบบ ด้วยมาตรฐานระดับ IPx7 กันน้ำได้ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในน้ำ

13. ระบบ Digital Touch

ที่ให้ผู้สวมใส่แตะเพื่อสะกิด หรือส่งจังหวะการเต้นของหัวใจของคุณกับคนอื่น ๆ ที่สวมใส่ Apple Watch เป็นสื่อสารถึงผู้ใช้ด้วยกัน เสมือนการส่งความรู้สึกผ่านทางเทคโนโลยี