เรื่องลี้ลับ ฉบับวังหลวง!!! ในรัชสมัย ร.5 (ภาคต่อ)


สนม นางใน หม่อมห้าม คนเดิมยังอยู่

"เรื่องลี้ลับชาววัง" ที่เคยเป็นเรื่องเล่าในสมัยก่อนก็ยังไม่จางหายไป ยังคงเล่าสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น แม้ในปัจจุบันข้าราชบริพาร ที่ทำงานในพระบรมมหาราชวังก็ยังตั้งวงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกกันอยู่หลังพระอาทิตย์ตกดิน จะไม่มีใครอยู่ทำงานขนาดมีงานพระราชพิธีเปิดไฟสว่างคนเยอะก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียวพวกรุ่นพี่จะบอกรุ่นน้องที่มาทำงานใหม่ เสมอๆ ว่า"เลิกงานแล้วกลับบ้านเลยนะ ใครอยู่ดึกรับรองเจอดีแน่!" จากที่เคยเดินเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังไปกันเป็นหมู่คณะไม่ต้องรออาทิตย์ตกดินก็เสียงสันหลังได้ ?!?!

เรื่องมีอยู่ว่า สำนักพระราชวังมีที่พักไม่พอให้ข้าราชการที่บ้านอยู่ไกลได้พักจึงต้องจัดให้พักตามหมู่พระตำหนักและเรือนเก่าของเหล่าบรรดาพระสนม เจ้าจอมมารดา หรือเจ้าจอมในเขตพระราชฐานชั้นในข้าราชการคนหนึ่งได้พักในพระตำหนักพระองค์เจ้าประเวศวรสมัย(พระราชธิดาในล้นเกล้า ร.5 กับเจ้าจอมมารดาทับทิมฯ)เป็นพระตำหนักแบบตะวันตกรูปตัวยู ก่ออิฐปูนถึง 2 ชั้น

คืนแรกไปนอน อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ด้วย เหมือนมีคนเดินผ่านบางทีก็นอนตกเตียงเพราะมีมือดีมาดึง ก็เลยอยู่ไม่ไหวด้วยเกรงในพระเดชานุภาพในพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เคยสิ้นพระชนม์ในพระตำหนักนี้ จึงขอขมาลาโทษ และลงมานอนข้างล่างหรือห้องนั่งเล่น ถึงพอจะนอนหลับได้ โดยไม่มีอะไรรบกวนรุนแรงอีก

เรื่องลี้ลับ ฉบับวังหลวง!!! ในรัชสมัย ร.5 (ภาคต่อ)


อีกเหตุการณ์หนึ่ง

ข้าราชสำนักเจอดีที่หน้าเรือนของ เจ้าจอมก๊ก อ.ซึ่งเจ้าจอมก๊ก อ. นี้เป็นเหล่าธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ บุนนาค โดย เป็นพี่น้องกัน 5 คน ได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน, เจ้าจอมมารดาเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน แห่งราชินิกุล "บุนนาค"

เรือนของเจ้าจอมมารดาทั้ง 5 อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ตัวเรือนใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหลังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสี่ชั้น ประตูทางเข้าอยู่ทิศเหนือ ทำเป็นรูปครึ่งวงกลม มีหน้าต่างเจาะเป็นรูปโค้งอยู่ตรงกันทุกชั้น ด้านหน้าชั้นที่สองและชั้นที่สามทำเป็นเฉลียงส่วนชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพารส่วนชั้นที่สองเป็นที่อยู่ของเจ้าจอมมารดาทั้งหลาย และไว้ใช้รับแขก

เรือนหลังนี้มีเรื่องเล่าว่าวันหนึ่ง ขณะที่ว่างจากงานในหน้าที่ข้าราชการฝ่ายในกลุ่มหนึ่งเห็นว่าสถานที่หน้าเรือนเจ้าจอมก๊ก อ. เงียบสงบ เลยชวนกันมานั่งเล่นพักผ่อนกันในบริเวณสนามหญ้าขณะกำลังคุยกันออกรส เสียงหัวเราะอาจจะดังไปหน่อยจู่ๆ มีน้ำมาจากไหนไม่รู้ เหมือนใครเทราดสาดลงมาจากข้างบนเสียงคุยเฮฮาเมื่อครู่เงียบกริบ... ?!?!?

เนื้อตัวเปียกปอนกันหมดแหงนดูข้างบนก็ไม่มีใครเพราะเรือนนี้ถูกปล่อยร้างไม่มีใครอยู่มานานแล้วเป็นเรื่องที่น่าประหลาดจับมือใครดมก็ไม่ได้ และเชื่อกันว่าเจ้าของผลงานนี้ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว !!!!

เรื่องลี้ลับ ฉบับวังหลวง!!! ในรัชสมัย ร.5 (ภาคต่อ)


เเละแถมท้ายอีกเรื่องกับ  โอปปาติกะ กับรัชกาลที่6



เมื่อพูดถึง "ผี" หรือ "วิญญาณ" พวกเราชาวนอกรั้ววังคงอยากจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในรั้ววังกันบ้าง ยายผีป่าจึงไปเสาะหาจากนิตยสารหญิงไทยมาให้อ่านค่ะ ขอนำเรื่องราวของ "โอปปาติกะ" ที่มาปรากฏให้เห็นเฉพาะพระพักตร์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 6 มาเล่าให้ฟัง...



เรื่อง นี้เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งที่พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันหนึ่งมีงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิด ท่านจอมพลเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น ซึ่งล้นเกล้าฯรัชการที่ 6 ก็จะต้องไปในงานนี้ด้วย การแต่งพระองค์ในวันนั้นต้องทรงเครื่องยศทหารรักษาวัง เพียงครึ่งยศ เพราะเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิตเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารรักษาวัง และยังเป็นงานแบบสโมสรกลางแจ้ง

งานในวันนี้มีข้าราชบริพาร สมุหราชองครักษ์และราชองครักษ์ เตรียมโดยเสด็จอย่างพรั่งพร้อม เมื่อได้เวลาเสด็จพระราชดำเนิน พระองค์ก็ได้เสด็จขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่ง ณ ทหารเรือ ทหารม้า ทหารราบทั่วไปและตำรวจ จะต้องมายืนรับเสด็จอยู่ริมรถพระที่นั่งตามอย่างราชประเพณีเป็นปกติ และยังมีราชองครักษ์เวรสมทบราชองครักษ์ประจำ ซึ่งมีพันโทพระยาสรชาติ โยธี พันตรีหลวงอาจหาญณรงค์ นาวาโทหลวงสวัสดิ์ นาวายุทธ ร้อยเอกหลวงวรภักดิ์ภูบาล และนายพันตำรวจโทหลวงอภิบาลนครเขตต์

นอก จากพระองค์จะทอดพระเนตรเห็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็ยังทอดพระเนตรเห็น "พันเอกจมื่นฤทธิ์รณจักร" ผู้บังคับกองพันทหารรักษาวังแต่งตัวเต็มยศมายืนอยู่ด้วยในหมู่ราชองครักษ์ โดยสวมหมวกแบบนโปเลียนและมีปลอกคอ ปลอกข้อมือใช้กระบี่แบบไทยหัวเป็นพญานาค พระองค์ทรงตรัสเล่าให้มหาเล็กคนสนิทคือนายรองเล่ห์อาวุธ หรือ "จมื่นมานิตย์นเรศร์" ฟังว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงฉงนพระราชหฤทัยเหมือนกันว่าทำไม "จมื่นฤทธิ์รณจักร" จึงแต่งกายเต็มยศ แต่ก็มิได้ออกพระโอษฐ์กับใคร แม้กระทั่งสมุหราชองครักษ์ทีโดยเสด็จฯ ไปในรถพระที่นั่งนั้นด้วย

เมื่อ เสด็จฯมาถึงงานก็ทรงมีพระราชภาระที่จะต้องพระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิม ต้องพระราชทานประคำทองคำกับแหวนนพเก้าเป็นพิเศษตามอย่างโบราณราชประเพณีให้ แก่เจ้าพระยานาหมื่นชั้นแม่ทัพนายกองเป็นของขวัญและยังทรงมีพระราชภาระ ทีจะต้องพระราชทานพระบรมราโชวาทในงานเลี้ยง เมื่อทรงพระราชทานพรและทอดพระเนตรงานมหรสพจนเสร็จงานก็เป็นเวลาเกือบตีสาม จึงเสด็จกลับพระตำหนัก

กระทั่ง ถึงตำหนักที่ประทับ ณ วังสวนจิตรลดา ก็จะเสด็จเข้าห้องแต่งพระองค์แต่ก่อนจะถึงห้องแต่งพระองค์ได้เสด็จผ่านห้อง โถง และได้ทอดพระเนตรเห็นพานกะไหล่ทอง ซึ่งบนพานใบนั้นมีธูปกระแจะขนาดใหญ่กับเทียนไส้ใหญ่อย่างละ 1 เล่ม แบบเผาศพ พร้อมด้วยกระทงดอกไม้ตั้งอยู่ และยังมีข้อความเขียนไว้ว่า "ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า จมื่นฤทธิ์รณจักร ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายบังคมลาไปปรโลก"

สิ่ง ที่นำมาถวายและข้อความที่เขียนไว้นี้ เป็นแบบอย่างการถวายบังคมทูลลาตายของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ซึ่งทรงรู้จักคุ้นเคย โดยครอบครัวผู้ตายจะจัดขึ้นทูลเกล้าฯถวาย จากนั้นพระองค์ก็จะโปรดเกล้าฯให้มหาดเล็กรับใช้หรือ มหาดเล็กห้องที่พระบรรทม นำไปจุดบูชาที่หอพระ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นดังนั้นนก็ให้ฉงนในพระราช หฤทัยไม่ใช่น้อย จึงโปรดฯให้มหาดเล็กเวรเชิญพระราชกระแสไปสอบถาม เพื่อให้แน่แก่พระทัยที่บ้านจมื่นฤทธิ์รณจักร มหาดเล็กก็กลับมาถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักรถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเช้านี้และในตอนเย็นก็ได้รับพระราชทาน น้ำหลวงอาบศพ ทางครอบครัวได้แต่งตัวศพด้วยเครื่องเต็มยศทั้งชุดของทหารรักษาวัง"

เมื่อ ความได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเช่นนั้น พระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัย และเสียดายจมื่นฤทธิ์รณจักร เป็นอย่างมาก ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักร แกรักฉัน อุตส่าห์นำวิญญาณในเครื่องแบบเต็มยศมาลาฉัน"

"จมื่น ฤทธิ์ รณจักร" ผู้นี้ เป็นนายทหารที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บังคับกองพันทหารรักษาวัง และราชองครักษ์ เป็นนายทหารที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ไว้วางพระราชหฤทัย ทรงโปรดปรานสนิทสนมด้วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นในงานศพของนายทหารท่านนี้ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นค่าจัดงานศพตลอดงานนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ ครอบครัวจมื่นฤทธิ์รณจักรสุดคณานับ

เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่เชื่อ ถือได้ เพราะผู้เล่าคือจมื่นมานิตย์นเรศร์มหาดเล็กคนสนิทในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ซึ่งได้เล่าไว้ในรายการรอบเมืองไทยทางวิทยุ ท.ท.ท. ออกอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน








ที่มา :: clipmass

เรื่องลี้ลับ ฉบับวังหลวง!!! ในรัชสมัย ร.5 (ภาคต่อ)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์