รถพระที่นั่งหายจากพระที่นั่งบรมพิมาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระราชดำเนินจากประเทศไทยไม่นานนัก คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลที่ศาลกลางเมือง ได้ส่งข้อสรุปผลการสอบสวนต่อคณะรัฐบาลในวันที่ 9 ตุลาคม พุทธศักราช 2489
คณะรัฐบาลซึ่งมี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากนายกรัฐมนตรีคนก่อนซึ่งได้กราบถวายบังคมทูลลาออกโดยอ้างเหตุผลทางด้านสุขภาพได้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมหลักฐานต่างๆในการสวรรคตไปให้กรมตำรวจ เพื่อให้กรมตำรวจดำเนินการพิจารณาสอบสวนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป ในรัฐบาลนี้มีการเปลี่ยนตัวปลัดกระทรวงและอธิบดีกรมตำรวจและมีการแต่งตั้งคณะนายตำรวจชุดหนึ่งเพื่อปฎืบัติงานนี้ ทางตำรวจเห็นว่าหลักฐานที่จะนำส่งฟ้องยังไม่เพียงพอ จึงมีการวางแนวทางการสอบสวนใหม่อีกครั้งหนึ่ โดยมีทั้งการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ สอบสวนพยานบุคคลและความเห็นทางการแพทย์เพิ่มเติม โดยดำเนินงานอย่างล่าช้าและไม่ปรากฎความชัดเจนอย่างใด เป็นที่คาดการณ์กันว่ารัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์คงไม่สามารถคลี่คลายกรณีสวรรคตได้ สันนิษฐานว่าเพราะเกรงอำนาจมืดที่ยังไม่สิ้นไปจากแผ่นดิน
ในปีพุทธศักราช 2490 จึงเกิดการรัฐประหารโดย จอมพล ผิน ชุนหวัณ เป็นหัวหน้าคณะยึดอำนาจไว้ได้ ข้ออ้างข้อหนึ่งในหลายๆข้อของการทำปฎิวัติครั้งนี้คือ รัฐบาลไม่สามารถคลี่คลายกรณีสวรรคตได้
จอมพลผินมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอง แต่ได้เชิญ นายควง อภัยวงศ์ มาดำรงตำแหน่งอยู่ระยะหนึ่ง จึงเปลี่ยนเป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามารับตำแหน่ง
หลังจากปฏิวัติแล้ว กรณีสวรรคตได้ถูกนำฟ้องร้องต่อศาลอาญา โดยมีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเฉลียว ปทุมรส ราชเลขานุการ ซึ่งพ้นหน้าที่ไปก่อนการสวรรคตไม่นานนัก เป็นจำเลยที่ 1นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ด้วยข้อหาประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน หลายต่อหลายปีผ่านไปจนล่วงมาถึงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2499ศาลฎีกาจึงตัดสินประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม โดยผ่านขั้นตอนการพิพากษาจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มาแล้ว
ตามความรู้สึกของคนไทยขณะนั้น จะประหารคน 3 คนนี้หรือจะประหารจอมบงการหรือมือสังหารด้วยก็ตาม ก็ไม่อาจลบเลือนความแค้นใจและเศร้าเสียใจอันใหญ่หลวง ชีวิตของมนุษย์เหล่านี้มิอาจชดเชยความสูญเสียของชาวไทยทั้งแผ่นดินได้
เนื้อความหลายตอนในคำพิพากษาเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตามทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบว่า ระหว่างที่ทุกคนวางใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในพระทั้งนั่งบรมพิมานโดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดนั้น เหตุการณ์มิได้เป็นดังที่คาดหมาย
เรื่องหนึ่งซึ่งฟังดูแล้วแสนจะน่าประหลาดใจ คือเรื่องรถพระที่นั่งคันหนึ่งหายไปจากในบริเวณพระบรมมหาราชวังอย่างไม่มีร่องรอย เป็นเรื่องที่ดูจะเป็นไปไม่ได้สำหรับยุคปัจจุบัน แต่ได้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 60 ปีก่อน
ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งผ่านพ้นเช่นดังช่วงเวลานั้น รถพระที่นั่งที่จัดถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นรถที่ดีที่สุดเท่าที่มี คือรถ โรลสรอยส์ และรถ เดมเล่อร์สำหรับเสด็จพระราชดำเนินอย่างเป็นทางการ และมีรถแนชและเชฟโรเลทเป็นรถพระที่นั่งส่วนพระองค์ รถยนต์หลวงที่ใช้ตามเสด็จในขบวนเสด็จพระราชดำเนินก็มิได้เป็นรถที่สง่างามดังที่เห็นในปัจจุบัน แต่เป็นรถโบราณก่อนสงครามซึ่งมีสภาพไม่ใคร่น่าดู
วันหนึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนีมีพระประสงค์จะเสด็จซื้อของเป็นการส่วนพระองค์ ปรากฎว่าทางในวังมิสามารถจัดหารถที่เหมาะสมถวายให้ทรงใช้ได้ เพราะรถเชฟโรเลทนั้น ราชเลขานุการส่งไปให้นายกรัฐมนตรีใช้ ส่วนรถแนชส่งไปซ่อมให้แขกเมืองใช้ เมื่อความทราบฝ่าละอองธุรีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขุ่นพระราชหฤทัย มหาดเล็กต้องไปตามเอารถแนชคืนมา เมื่อมีพระราชดำรัสซักถามได้ความว่าราชเลขาจัดเอารถเชฟโรเลทไปให้นายกรัฐมนตรีใช้ จึงตรัสว่าหากทำเนียบนายกรัฐมนตรีไฟใหม้ พระองค์ท่านคงต้องยกวังให้อยู่เป็นแน่
ต่อจากนั้นไม่กี่วัน รถแนชพระที่นั่งก็หายไปจากโรงเก็บรถในเวลากลางคืน และไม่สามารถสืบหากลับมาได้ แสดงให้เห็นว่าเวรยามที่เฝ้าพระที่นั่งบรมพิมาน มิได้รักษาหน้าที่อย่างเคร่งครัดเลย แล้วองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงปลอดภัยได้อย่างไร
ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจาก chaoprayanews.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!