แต่ความเกลียดชังที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทำให้เสียใจและคิดไปมากมาย
ได้อ่านคอมเม้นต์ที่วิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งท้อ ทั้งคำกล่าวหา ไม่รักชาติ ทั้งข้อกล่าวหา ทำไมไม่ทำข่าวคนทุกข์ยากในไทย ไม่ทำข่าวสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือขับไล่ให้ลงเรือไปกับชาวโรฮิงญา
จริงๆก็มีเหตุผลมากมายอยากอธิบาย อยากขอความเป็นธรรม แต่ไม่รู้จะมีใครรับฟังบ้าง
เพราะดูเหมือนสังคมนี้ กำลังจะบอกให้ ฐปณีย์ หยุด จึงต้องคิดทบทวนค่ะ
หากการดำรงอยู่ในวิชาชีพสื่อมวลชน การตั้งต้นอยู่ในความตั้งใจเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ การตั้งต้นในการทำข่าวเพื่อช่วยเหลือผู้คน การทุ่มเทเวลาทั้งหมดในชีวิต ตลอด 15 ปีในวิชาชีพนี้ การทำความดี มันเป็นสิ่งผิด
หากการทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี มันทำให้เกิดความรู้สึกไปมากมายขนาดนี้ คงต้องขอโทษและขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ
และถึงเวลาต้องบอกตัวเองให้หยุด จริงๆก็เหนื่อยมามากแล้ว ถ้าไม่มีนักข่าวชื่อ ฐปณีย์ อะไรๆมันอาจง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณหลายกำลังใจที่มีให้นะคะ'
รวมถึงข้อความระบุว่า
‘ขอแสดงความรับผิดชอบหากการทำหน้าที่ทำให้เกิดปัญหามากมายขนาดนี้
มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอกค่ะจะด่าว่า จะกล่าวหา ฐปณีย์ อย่างเสียหายก็พยายามอดทนค่ะ แต่สิ่งที่เสียใจมากที่สุดขณะนี้คือ การที่ข่าวนี้กำลังทำให้เกิดความเกลียดชังต่อเพื่อนมนุษย์ กำลังถูกเชื่อมโยงการเมือง และส่อเค้าบานปลายถึงความขัดแย้งทางศาสนา ขอยืนยันว่า การนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา ได้ทำตามหน้าที่ของสื่อมวลชน และเพื่อนมนุษย์อย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีเบื้องหลังและเจตนาใด นอกจากติดตามเรื่องนี้มาหลายปีและอยากเห็นการแก้ปัญหาให้ลุล่วง
ต่อข้อกล่าวหา บางเรื่องไม่ถูกต้อง จึงต้องชี้แจงว่า ฐปณีย์ไม่เคยพูดว่าให้ตั้งศูนย์พักพิง ฐปณีย์ ไม่เคยพูดว่ารัฐบาลไทยต้องดูแล แต่ได้บอกเล่าถึงชีวิตและชะตากรรมของคนเหล่านี้ ในฐานะนักข่าวที่ได้ขึ้นไปสัมผัสชีวิตบนเรือของผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นภาพแรกที่เราได้เห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไร และเจ้าหน้าที่ไทยได้ทำดีที่สุดแล้ว
แค่อยากให้โลกรับรู้ถึงชีวิตและชะตากรรมของพวกเขา เพื่อสังคมโลกจะช่วยกันหาทางออก ก็เท่านั้นเองค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งคะ จะพิจารณาตัวเอง และรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ'