ตำนานเมืองดงละคร เมืองลึกลับ แห่งนครนายก
แถลงลักษณ์หลักฐาน บุราณเรื่อง ตำนานเมืองกล่าวแจ้ง แถลงไข
แต่กาลก่อนเป็นดอนดง และพงไพร มีสัตว์ใหญ่สัตว์น้อย นับร้อยพัน
ทั้งเสือช้างกวางเก้ง กระเรียนกระรอก สุนัขจิ้งจอกชะนีลิง กะทิงสมัน
กระต่ายกระแต-แย้บ่าง ค่าครอบครัน อุดมพันธุ์ไม้ป่า น่าเพลิดเพลิน
ทั้งเต็งรังตะแบกไผ่ ไม้ตะเคียน ไม้กะเบียนกะบกกะเบา ตามเขาเขิน
แดงสักรังประดู่ ดูเจริญ ชมเพลินธรรมชาติ สะอาดตา
เหลืองสะพรั่งดังแดนดิน ถิ่นสวรรค์ ด้วยมีพันธ์ไม้บุนนาค มากหนักหนา
ดอกหล่นอยู่เกลื่อนกลาด ดาษดา ประดับป่างามวิไล ในไพรพง
คำผู้แก่ผู้เฒ่า แกเล่าขาน แต่ก่อนกาลจำได้ ไม่ไหลหลง
ใครร้องรำเล่นละคร ในดอนดง อาถรรพ์ส่งสาปสรรค์ มีอันเป็น
ตามตำนานที่ยินมา ปรากฏชัด ซึ่งประวัติตำบลนี้ ชี้ให้เห็น
ทั้งวันดีคืนดี ที่ร่มเย็น มีเสียงเล่นร้องรำ มาตามลม
เ...ที่ภูเขาหรือที่ชายป่าตีนเขาในวันพระ หากใครกล้าท้าพิสูจน์ แนะนำช่วงเวลาค่ำคืน ไปด้อมๆมองๆ จะได้ยินเสียงผู้คน หญิงชาย เด็กเล็ก อีกทั้งมโหรีปี่แตรก้องสนั่นป่า กลิ่นดอกไม้ลอยลมมาแต่ไกล เหล่านางฟ้าหรือผีบังบด เก็บดอกไม้บูชาพระ
คุณคิดว่า น่าจะเป็นความจริงหรือไม่ วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ชาวบ้านต่างรู้กันทั่ว ว่าเป็นเมืองเมืองลับแล เป็นถิ่นของผู้มีกายทิพย์ประเภทหนึ่ง มีลักษณะท่าทางการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนกันกับชาวโลกมนุษย์เรา และอาศัยอยู่ในโลกด้วยกันกับพวกเรา เพียงแต่อยู่ในอีกมิติหนึ่งเท่านั้น
การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็คล้ายๆกับมนุษย์ มีทั้งการทำไร่ไถนา ทำการเกษตร ทำงานหัตถกรรม การเลี้่ยงสัตว์ แต่ว่าอาการที่พวกเขาทำ ก็ทำไปอย่่างงั้นๆ ทำไปเพราะแรงแห่งกรรม ทำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้ผลผลิตอะไรจากการกระทำ อย่างการเลี้ยงวัวก็เลี้ยงอยู่อย่างนั้น เลี้ยงไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดกรรม หมดกรรมเมื่อไหร่ก็ได้เลิกเลี้ยงวัว
นี่คือชีวิตความเป็นอยู่ในโลกของพวกบังบด ความเป็นอยู่ไม่ได้ดีขึ้่นหรือเลวลง คืออยู่กันอย่างนั้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ยังดีกว่าเปรตและอสุรกาย แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพวกเทวดาที่สถิตตามต้นไม้
ดงละคร นครนายกน่ะ ได้ยินเขาเล่ากันว่ามีนะ ทุกคืนวันพระ จะมีเสียงมโหรี ปี่พาทย์ บรรเลง คิดว่าในวันพระประตูหรือทางเชื่อมระหว่างมิติน่าจะเปิดออก เลยทำให้สองภพมาเจอกันได้
ประวัติความเป็นมา
สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายว่าเมือง “ดงละคร” เป็นเมืองที่นางพญาของสมัยโบราณสร้างไว้ให้องครักษ์ ซึ่งผู้รู้สันนิฐานว่า เมืองที่กล่าวถึงคือเมืองโบราณดงละคร
ชื่อดงละครนี้มาจากตำนานพื้นบ้านบอกเล่าว่าในคืนวันเพ็ญเต็มดวงชาวบ้านาจะได้ยินเสียงปี่พาทย์แว่วมาตามสายลมแต่หาที่มาของเสียงดนตรีไม่ได้ ชาวบ้านจึงเรียกเมืองแห่งนี้ว่าเมืองดงละคร คือดงที่มีเสียงละคร หรือเมืองลับแล
แถลงลักษณ์หลักฐาน บุราณเรื่อง ตำนานเมืองกล่าวแจ้ง แถลงไข แต่กาลก่อนเป็นดอนดงและพงไพร มีสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยนับร้อยพัน ทั้งเสือช้างกวางเก้ง กระเรียนกระรอก สุนัขจิ้งจอกชะนีลิง กะทิงสมัน กระต่ายกระแต-แย้บ้าง ค่าครอบครัน อุดมพันธ์ไม้ป่า น่าเพลิดเพลิน
ทั้งเต็งรังตะแบกไผ่ ไม้ตะเคียน ไม้กะเบียนกะบกกะเบา ตามเขาเขิน แดงสักรังประดู่ ดูเจริญ ชมเพลินธรรมชาติ สะอาดตา เหลือสะพรั่งดังแดนดิน ถิ่นสวรรค์ ด้วยมีพันธ์ไม้บุนนาค มากหนักหนา ดอกหล่นอยู่เกลื่อนกลาด ดาษดา ประดับป่างามวิไล ในไพรพง
คำผู้แก่ผู้เฒ่า แกเล่าขาน แต่ก่อนกาลจำได้ ไม่ไหลหลง ใครร้องรำเล่นละคร ในดอนดง อาถรรพ์ส่งสาปสรรค์ มีอันเป็น ตามตำนานท่ยินมา ปรากฎชัด ซึ่งประวัติตำบลนี้ ชี้ให้เห็น ทั้งวันดีคืนดี ที่ร่มเย็น มีเสียงเล่นร้องรำ มาตามลม
เสียงละครไพเราะ เสนาะโสต แว่วอุโฆษวังเวงเราะ ดูเหมาะสม เสียงเพลงพิณจินตนา น่านิยม หวาบอารมณ์ภิรมย์ชื่น ระรื่นใจ จึงพร้อมกันตั้งนาม ตำบลบ้าน ตามตำนานท่กล่าวแจ้ง แถลงไข อาศัยเสียงเล่นละคร ในดอนไพร ตั้งชื่อให้ต้องตรง ว่า "ดงละคร"
และนั้นคือที่มาของชื่อ “ตำบลดงละคร” ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตำบลใ นเขตการปกครอง ของอำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
เมืองโบราณดงละคร ตั้งอยู่ที่ ต. ดงละคร อ. เมือง ห่างจากตัวเมืองนครนายก ประมาณ 12 กม.
แม้จะไม่มีโบราณสถานขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่ แต่แนวกำแพงเมืองและซากฐานของแหล่งโบราณสถานก็ได้รับการขุดแต่งอย่างดี มีป้ายบอกเล่าถึงความผูกพันของชาวบ้านที่มีต่อโบราณสถานแห่งนี้
เมืองโบราณนี้ แวดล้อมด้วยสวนผลไม้อันร่มรื่น น่าเดินเที่ยวชม ในฤดูผลไม้ราวเดือน ม.ค.-มี.ค. จะมีผลไม้นานาชนิดจากสวนของชาวบ้านย่านนี้ออกมาวางจำหน่าย เช่น มะปรางหวาน ส้มโอ มะม่วง กระท้อนหวาน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีผลไม้แปรรูป เช่น มะม่วงแช่อิ่ม กระท้อนแช่อิ่มด้วย
ในอดีตบริเวณเมืองโบราณดงละครเป็นป่าดงไม่ค่อยมีใครย่างกรายเข้าไป เล่ากันว่ามักได้ยินเสียงมโหรีดังแว่วคล้าย มีการเล่นละครอยู่ข้างในดงไม้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ดงละคร และยังเชื่อว่าภายในดงไม้นั้นเป็นเมืองลับแล หากใครพลัดหลงเข้าไปก็ยาก ที่จะหาทางกลับออกมาได้
ต่อมาเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว ชาวบ้านจากฉะเชิงเทราได้โยกย้ายเข้ามาทำสวนผลไม้ กระทั่งกลายเป็นสวนร่ม ครึ้มไปทั่วอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เมืองโบราณดงละครได้รับการขุดค้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 แต่การทำงานยังไม่คืบหน้า กระทั่งในปี พ.ศ. 2531 จึงมีการขุดค้น อีกครั้งและทำผังเมืองโบราณแห่งนี้ขึ้น ตามพระราชดำริของสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นับแต่นั้นมาเมืองโบราณดงละครจึงเป็นที่สนใจมากขึ้น มีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น สามารถเชื่อมโยงถึงการตั้งหลักแหล่งของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในแถบ ริมคลองบ้านนา จ. นครนายก
เมืองโบราณดงละครมีผังเมืองเป็นรูปไข่หรือวงรี มีคันดิน และคูน้ำล้อมรอบ อันเป็นลักษณะผังเมืองยุคทวารวดี-ลพบุรี ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 14-19 สภาพภูมิประเทศของเมืองคล้ายกระทะคว่ำ มีเนินสูงราว 30 ม. ทางด้านตะวันออกเรียกว่า หนองกระพ้อ
มีประตู ทางเข้าเมืองและสระน้ำอยู่ทั้งสี่ทิศ สันนิษฐานว่าชุมชนนี้มีการ ติดต่อกับต่างชาติเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า เพราะในอดีตชุมชนดงละคร ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินปัจจุบัน โดยใช้แม่น้ำ นครนายกล่องเรือออกสู่ทะเลได้สะดวก
ซากฐานโบราณสถานสองแห่งที่เหลืออยู่นอกกำแพงเมือง สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ทางกรมศิลปากรได้กำหนดให้เป็นโบราณสถานหมาย เลข 1 และโบราณสถานหมายเลข 2
สิ่งที่น่าสนใจภายในเมือง
@ โบราณสถานหมายเลข 1 ก่อเป็นแนวกำแพงแก้วเตี้ยๆ กว้าง 32 ม. ยาว 43 ม. มีทางเข้าด้านทิศใต้ ภายในมีแท่นตั้งรูป เคารพ โบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของไม้ใหญ่ ได้รับการบูรณะปรับแต่งเป็นสนามหญ้ารอบบริเวณโบราณสถาน
@ นิทรรศการโบราณวัตถุ ตั้งอยู่ใกล้กับโบราณสถาน หมายเลข 1 จัดแสดงนิทรรศการข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณดงละคร และโบราณวัตถุที่ขุดได้ในบริเวณนี้ เช่น เศียรพระพุทธรูปกาไหล่ ทองสมัยทวารวดี แผ่นทอง เมล็ดข้าวสารดำ เตาหลอมโลหะขนาด เล็ก ชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี เศษกระเบื้องของจีน สมัยราชวงศ์ถัง คันฉ่องสำริด อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้น
@ โบราณสถานหมายเลข 2 ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถานหมาย เลข 1 เป็นบ่อศิลาแลง กว้าง 3.7 ม. ยาว 4 ม. ลึกประมาณ 2 ม. ภายในบ่อมีสถูปขนาดเล็กทรงกระบอกทำด้วยศิลาแลงซ้อนกันสอง ชั้น นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปและแม่พิมพ์ดินเผาแบบทวารวดี เครื่องประดับต่าง ๆ ได้แก่ แหวน กำไล ต่างหู ลูกปัด หินมีลายสลัก คล้ายตราประทับ สันนิษฐานว่าอาจเป็นสถูปของบุคคลสำคัญ
@ บ่อน้ำทิพย์ เป็นบ่อก่อด้วยคอนกรีตลึกลงไปคล้ายบ่อ บาดาล มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 ม. ไม่มีประวัติที่ชัดเจน แต่ จุดที่เป็นบ่อน้ำทิพย์เคยเป็นแนวแม่น้ำนครนายกสายเดิมซึ่งเปลี่ยน ทางเดินในภายหลัง ใกล้กันมีแนวคูเมืองโบราณ ซึ่งเป็นคันดินสูง ประมาณ 6 ม. และมีบ่อศิลาแลง
สันนิษฐานว่า เป็นบ่อศิลาแลงที่ นำไปสร้างกำแพงเมืองในสมัยนั้น บ่อน้ำทิพย์เป็นที่รู้จักของชาวนครนายกในช่วงปี พ.ศ. 2533 เมื่อโรงเจสว่างอริยธรรมสถาน นครนายก ได้อัญเชิญเซียนซือจาก นครสวรรค์มาประทับทรง เซียนซือในร่างทรงได้ตรงมายังบ่อน้ำ ทิพย์แห่งนี้และแนะนำให้นำน้ำในบ่อไปประพรมโรงเจเพื่อเป็นสิริมงคล
หลังจากนั้น ชาวบ้านก็พากันมาตักน้ำจากบ่อน้ำทิพย์ไปประ- พรมและดื่มกินโดยเชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2542 นายอำเภอเมืองนครนายกได้ทำพิธีตักน้ำจากบ่อน้ำทิพย์ เพื่อนำไป ใช้ประกอบพิธีอภิเษกในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบหกรอบ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2542
@ ขี่จักรยานชมเมืองโบราณ เส้นทางจักรยานจะเลาะขอบ คูเมือง ซึ่งเป็นแนวคันดินติดกับกำแพงเมืองด้านนอก ระยะทาง 2.1 กม. แบ่งเป็นสี่ช่วง แต่ละช่วงคือประตูเมืองโบราณทั้งสี่ทิศ สภาพ เส้นทางค่อนข้างแคบ แต่ไม่สูงชัน ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ ตลอดเส้น ทางมีป้ายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ อันเกี่ยวโยงระหว่างชาวบ้านย่านนี้ กับเมืองโบราณดงละคร หรือเมืองลับแลตามตำนานที่ชาวบ้าน เล่าขานกันมา
เช่น ป้ายหน้าบ้านนางสุรินทร์ กลิ่นหอม เล่าว่านาง สุรินทร์เคยเดินผ่านเมืองลับแลเมื่อปี พ.ศ. 2539 และเห็นภาพลวง ตาเป็นบ้านเรือนแบบไทย นอกจากนี้ตลอดเส้นทางยังผ่านสวน ผลไม้ต่างๆ เช่น สวนมะปรางหวาน มะยงชิดซึ่งจะออกผลในราว เดือน ก.พ. กระท้อนหวานซึ่งจะออกผลปลายเดือน พ.ค.-มิ.ย.
ประสบการณ์ลี้ลับจากเมืองดงละคร
ในจังหวัดนครนายก มีสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง เป็นเมืองโบราณ มีซากเมืองเป็นป่ารกชัฏ มีการปรับปรุงบางส่วน จึงทำให้น่ากลัวน้อยลง เมื่อเทียบกับอดีต มีการขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรว่า "เมืองดงละคร"
สถานที่นี่ เวลาเดือนเพ็ญ จะมีเสียงมโหรีบรรเลงเพลงโบราณแว่วมา เหมือนมีการแสดงละครใน มีผู้คนพยายามไปสืบเสาะดูว่า เพลงลอยมาจากที่ใด ก็ไม่พบอะไร...การมีเพลงมโหรีแว่วมานี้เอง ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ดงละคร"
สามเดือนที่ผ่านมา ผมสนใจเรื่องนี้ จึงขับรถยนต์ลุยเข้าไปกลางดึก เข้าไปท่ามกลางป่ารกชัฏที่เชื่อว่า มีวิญญาณอยู่ ขับรถเข้าไปถึงใจกลางป่าอันน่ากลัวเวลาประมาณสามทุ่ม ข้างทางมีแต่ความมืดสนิท คนที่ประสาทอ่อนคงไม่กล้าเข้าไปแน่ๆ
พอถึงใจกลางพื้นที่ที่น่ากลัว ก็ดับเครื่อง ปิดไฟดับสนิท มองเห็นแต่ความมืด...ก็ทำจิตว่า "ถ้าในบริเวณนี้มีวิญญาณ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ขอให้ออกมาคุยกัน เรายินดีที่จะช่วยพวกท่าน"
อึดใจใหญ่ๆ ก็มีร่างเงาของหมู่คนลอยมาช้าๆ จากแนวป่าเบื้องหน้า...พอมาใกล้ก็เห็นว่า เป็นกลุ่มคนในชุดโบราณประมาณ 8 คน เป็นหญิงมากกว่าชาย จึงสอบถามกันทางจิต เพราะภาษาโบราณคงไม่กระดิกหูทั้งสองฝ่าย
ได้ความว่า ที่นี่หัวหน้าเป็นผู้หญิง..ได้รับคำสั่งจาก นครหลวง (นครธม) ให้มาสร้างเมืองเพื่อขยายอาณาจักร เพื่อจัดหาธัญญาหารส่งเข้าเมืองหลวง มาทำการก่อสร้างได้สามปี ยังไม่ทันเรียบร้อย ก็เกิดโรคระบาดทางน้ำ..เกิดโรคห่ากิน (อหิวาตกโรค) ผู้คนตายเกือบหมดจาก700คน เหลือไม่ถึงร้อยคน จึงต้องทิ้งเมืองกลับนครไป...
วิญญาณคนที่ตายก็ยังคงอยู่ที่นี่ และรอคอยคนที่มีวิชามาช่วยปลดปล่อย และพวกตนมาจากในวัง จึงเล่นเครื่องบรรเลงเพลงมโหรีได้ ..เพื่อการรอคอย พวกเราดีใจที่ท่านมา เรารู้ว่า ท่านช่วยเราได้...
เรามีความตั้งใจที่จะช่วยพวกท่าน แต่สิ่งแรกที่ปรารถนา คืออะไร.... คำตอบ ตอนโรคห่าระบาด พวกเราหิวน้ำมาก จนกระทั่งบัดนี้ จึงอยากขอน้ำสะอาดก่อน และขอให้แผ่บารมีปลดปล่อยพวกเราด้วย... จึงบอกพวกเขาไปว่า รับรู้แล้ว และจะมาอีกครั้งในอีกสองวันข้างหน้า
เมื่อครบกำหนด เราก็ชวนสมาชิกชมรมอีกคนมาด้วยกัน ซื้อน้ำสิงห์ขวดกลางใส่เต็มท้ายรถ มาตอนกลางวัน ก็ขับรถวนหาสถานที่ ก็พบว่า มีศาลาโล่งอยู่แห่งหนึ่งจึงเข้าไป พบว่ามีคนมาถวายพระพุทธรูปขนาดเล็ก และตัวละครนางรำเกือบ500ตัว เพื่อให้สมกับเป็นดวงละคร นางรำ
เราทะยอยเปิดขวดทุกขวด แล้วจึงอัญเชิญพลังของพระพุทธบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ เข้าลงในน้ำทุกหยด เพื่อเพิ่มกำลังในการปลดปล่อยวิญญาณ เมื่อเรียบร้อยก็กล่าวอัญเชิญวิญญาณทั้งหลาย ที่รอคอยอยู่ทั่วดงละครให้มา เพราะเราเอาน้ำมาให้แล้วตามที่สัญญาไว้
ทันทีที่กล่าวจบ วิญญาณเล็กๆ ที่เรืองแสงเหมือนหิ่งห้อยนับร้อยๆ บินลอยวนมา แล้วจุ่มตัวลงในขวดน้ำทุกขวด เหมือนผึ้งโฉบลงดอกไม้เพื่อดูดน้ำหวาน...แล้วก็บินมาวนรอบๆ ตัวพวกเรา เพื่อแสดงมุทิตา แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า จางหายไปจนหมดสิ้น...ใช้เวลาไม่เกิน 10นาที
เราสองคนที่ไปด้วยกัน รู้สึกอิ่มใจที่ได้ช่วยให้วิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายร้อยปีได้ไปผุดไปเกิดเสียที
ข้างศาลาที่ว่า พบว่ามีต้นไม้ใหญ่ จึงเพ่งพบว่า เป็นเทพารักษ์สององค์ดูแลอยู่ ก็สวัสดีเขาไป...และถัดไปมีบ่อน้ำเก่าลึกลับ มีร่องรอยว่า มีคนมาตัก ก็ก้มลงมอง...สัมผัสได้กับพลังที่ดีมาก จีงขอแสดงความเคารพ ขอให้แสดงตน ปรากฏว่าเป็นพญานาคมีอายุมากจนตัวเป็นสีขาว เขาบอกว่า บ่อน้ำนี้ศักดิสิทธิ์ เขามาเฝ้านานแล้ว
หันไปดูจึงเห็นป้ายที่ทางการทำไว้ อธิบายว่า "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เหมือนน้ำมนต์ ผู้ใดดื่มกินจะหายจากโรคได้ และเป็นแหล่งน้ำที่ตักน้ำส่งเข้าสำนักพระราชวังในโอกาสที่มีการทำน้ำสรงที่ศักดิ์สิทธิ์ตลอดมา" ก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อให้ฟัง
ขับรถกลับออกมา ด้วยความสบายใจ ที่ได้ช่วยวิญญาณและเชื่อว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป...จะไม่มีใครได้ยินเสียงบรรเลงมโหรีอีกต่อไป..และ "ดงละคร" ก็คงจะเป็นตำนานต่อไปอีกนานแสนนาน
ที่มา www.missladyboys.com/webboard/index.php?showtopic=7083
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!