"จนตอนให้ยาเข็มที่ 3 และน้ำเกลือเสร็จ ตอนนั้นรู้สึกท้อ นุ่นก็นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องยา ตอนนั้นไม่ใช่จะไม่สู้ต่อ ก็บอกสามีว่า จะไม่ไหวแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต้องตายแน่ๆ ขอเปลี่ยนสูตรยาได้ไหม"ในความมืดมน หากมี "สติ" ก็จะพบแสงสว่างได้ไม่ยาก ขณะนั้นสามีแม่นุ่นเริ่มทำเพจเฟซบุ๊กแม่นุ่น โดยถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่เริ่มเจ็บป่วย หนทางการรักษา ต่อสู้และฝ่าฟัน ก็มีคนในโลกออนไลน์เข้าไปให้กำลังใจมากมาย รวมถึงอาสาให้ความช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือ "คุณเหมียว" ซึ่งเธอทิ้งข้อความไว้ว่า "มีสามีเป็นหมอ นพ.ชินวัตร วิสุทธิแพทย์ มีอะไรบอกได้นะ"
เมื่อวิทวัสติดต่อขอความช่วยเหลือไป จึงนำมาสู่จุดเปลี่ยนชีวิตแม่นุ่นจนถึงปัจจุบัน
"ตอนนั้นอาการแย่แล้ว เกล็ดเลือดเหลือ 400 จากคนปกติมีระดับแสน หมอชินบอกกับเราหลังเขาไปแอดมิทในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งว่า ผมรักษาคนด้วย ไม่ใช่แค่รักษาโรคเฉยๆ ให้โรคมันแซงเราไปก็ได้ ดีกว่าร่างกายจะแย่เอา ก็เป็นคำพูดที่ทำให้สามีนุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยการตัดสินใจหยุดให้ยาเคมีและปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา โดยหมอชินก็รักษาอาการข้างเคียงจนหาย และพาไปหาอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จนได้ปรับเปลี่ยนการให้ยา หยุดให้เคมี มาเป็นสูตรปัจจุบัน Herceptin + Tykerb
ยาสูตรใหม่ไม่ใช่ยาเคมีบำบัดที่ฆ่าทั้งเซลล์ดีและเซลล์ไม่ดี แต่เป็นยาวิวัฒนาการใหม่ไปฆ่าเซลล์มะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งนั่นทำให้มะเร็งที่เคยลุกลามตามร่างกายของเธอเริ่มจางหายไป เหลือแต่ที่สมอง แต่นั่นก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล แม้เธอจะใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ตัวยาที่ใช้เป็นยานอกบัญชี ทำให้เธอต้องจ่ายค่ายา 150,000 บาททุกๆ 3 สัปดาห์ ทำมาอย่างนี้แล้วกว่า 2 ปี
แม้จะได้รับยาดีจากโรงพยาบาลทำให้มะเร็งที่ลุกลามค่อยๆ หายไป แต่แม่นุ่นมียาที่ดีกว่าซึ่งหาซื้อที่ไหนไม่ได้ เป็นยาที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่สรรพคุณเหลือร้ายนัก อาจจะบอกได้ว่า ที่เธออยู่รอดถึงทุกวันนี้ ผ่านวิกฤตชีวิตหลังจากให้ยาเคมีมาได้ก็เพราะยาดีที่เรียกว่า "ความรัก"
"ด้วยความที่อยากอยู่กับลูก ลูกยังเล็ก เรายังเป็นอะไรไปไม่ได้ หากเขาขาดแม่ไปสักคนเขาจะอยู่อย่างไร ก็คิดถึงลูกเป็นหลักทำให้ผ่าน 2 ปีนี้มาได้ ขณะเดียวกันลูกยังสร้างกำลังใจ แม้จะป่วย แต่เวลาที่ได้เห็นหน้าเขาเราก็มีความสุข ไม่เครียด ยิ่งเวลาที่เขาพูดอะไรด้วยความไร้เดียงสา ก็ทำให้นุ่นคิดว่าจะเป็นอะไรได้ยังไง เวลาที่อยู่กับลูก ได้ดูแลลูก เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของชีวิตนุ่น แค่นี้ชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว"
เริ่มต้นด้วยความรัก ความสุขก็ตามมา
"ทำทุกวันให้มีความสุข ทุกๆ อย่างจะราบรื่น นุ่นไม่ค่อยนั่งจมปลักกับความทุกข์ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง อย่างช่วงที่ขี้เหร่จัดๆ ก็ไม่ได้ห่วงสวยอะไร ก็คิดแค่ว่าที่เส้นผมมันร่วงเดี๋ยวมันก็ขึ้นได้ ก็พยายามคิดบวก ส่วนวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน เพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นพอ"
หากใครได้ติดตามเพจแม่นุ่นหรือได้พูดคุยตรงๆ จะสัมผัสถึงออร่าแห่งกำลังใจและความเป็นนักสู้เต็มเปี่ยม ซึ่งเธอก็ยังแบ่งปันไปถึงผู้ป่วยคนอื่นๆ ด้วย อย่างวลีเด็ดล่าสุดของแม่นุ่นคือ "ระยะสุดท้ายจะหายให้ดู" ซึ่งเรียกกำลังใจไม่น้อย
"อยากให้กำลังใจทุกคนให้สู้ ท้อได้ แต่อย่าถอย โรคมะเร็งอาจไม่ได้ร้ายแรงที่สุด อย่างใครตอนนี้ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง อยากให้เตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมพร้อมสู้กับมันให้ได้ อย่าไปตกใจเสียใจกับมันมาก เพราะหากยอมรับความจริงให้ได้ คิดว่าจะดีขึ้นเอง รวมถึงผู้ป่วยโรคอื่นๆ เช่นกัน"
วันนี้ นุ่นวัย 31 ปี ยังฝากให้คอยสังเกตสัญญาณร่างกาย หรือการตรวจร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยยกประสบการณ์ตัวเองที่ละเลยสัญญาณร่างกายจนมาพบเมื่ออาการหนัก และโรคดำเนินไปถึงระยะสุดท้ายแล้ว
"นุ่นไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นโรคนี้ เพราะไม่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือพฤติกรรมใดเลย เพียงแต่ตอนนั้นทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินข้าวไม่เป็นเวลา ซึ่งร่างกายส่งสัญญาณมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงซื้อยามากิน จนมารู้เบื้องต้นว่าตับโตและมีจุดสิ้นเดือนมีนาคม และผลตรวจทางการแพทย์ยืนยันชัดเจนปลายเดือนเมษายน"
"อยากให้ทุกคนตรวจร่างกายสม่ำเสมอ อย่าคิดไปก่อนว่าไม่เป็นอะไร เพราะบางทีเราไม่รู้ว่าเป็นแค่นี้ แต่ข้างในร่างกายเป็นอะไรบ้าง หากตรวจพบเร็วก็เจอหนทางการรักษาที่ดีกว่า มีโอกาสรักษาหาย แต่หากละเลยไม่ได้ตรวจจนอาการหนักแล้วไปตรวจเจอปึ้งเลย ก็อาจทำให้ท้อแท้ท้อถอยได้" สุพัฒชากล่าว