เมื่อ ก่อนก็เป็นเพียงซอยธรรมดาซอยหนึ่ง เพียงแต่เป็นซอยที่มีแยกทางขวามือทุกๆ 30 เมตร จนกระทั่งหน้าปากซอยแยก 13 ที่เคยเป็นที่รกร้างว่างเปล่าคณะกรรมการชุมชนเกิดได้งบประมาณมาก้อนหนึ่งจาก ทางเทศบาลมาถากถางเป็นทางตัดเชื่อมกับอีกซอยเพื่อเป็นทางออกไปสู่ถนนใหญ่ ไม่ต้องออกไปถึงหน้าปากซอยแล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าซอยข้างหน้าเพื่อไปถนนใหญ่ อีกต่อหนึ่ง
นี่แหละจึงเกิดเป็นทางสามแพร่ง ทางสามแพร่งนี้จึงเป็นทางลัดที่มีรถราเข้ามาใช้ทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามสี่เดือนแรกทุกคนก็ใช้ทางกันอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นทางใหม่ แต่พอนานวันเข้าก็ขับกันอย่างเร็วจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งและครั้งแรกที่ เกิดการสูญเสียจนถึงขั้นเสียชีวิตก็เกิดขึ้นจนได้
เด็กนัก เรียนหญิงมัธยมต้นนิสัยดีคนนั้นเป็นที่รักของคนในชุมชน เธอจะตื่นแต่เช้ามืดออกมาช่วยแม่กวาดถนนหน้าบ้านแล้วกวาดเลยไปถึงเพื่อนบ้าน คนอื่นๆ ในซอยทุกวัน จากนั้นก็ช่วยแม่ขายหมูปิ้งที่หน้าปากซอยจนถึงใกล้แปดโมงเช้าถึงได้ไป โรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลออกไป วันเกิดเรื่องเธอลืมหนังสือและรายงานส่งครูจึงกลับเข้ามาบ้าน ระหว่างไขกุญแจรั้ว บ้านที่ซึ่งอยู่ตรงปากซอย 13 ตรงทางสามแพร่งพอดีก็เกิดมีรถกระบะเบรกแตกพุ่งชนเด็กหญิงอย่างแรงจนเสีย ชีวิตตรงนั้น สร้างความโศกเศร้าและสลดหดหู่แก่ผู้พบเห็นและได้ยินข่าว
แม่ ของเด็กหญิงไม่เป็นอันทำการทำงาน เธอออกมานั่งเหม่อลอยหน้าบ้านเสมอ แม้งานศพจะผ่านไปนานนับเดือน เธอก็ยังตื่นแต่เช้ามาเฝ้าดูที่ที่ลูกกวาดถนนอยู่ไม่ขาด เธอบอกคนเดินผ่านว่า ลูกเธอจะกลับมา...
แล้ววันหนึ่งก็มีคน เห็นเด็กหญิงจริง! ตอนนั้นตีสามกว่า ชายแก่ขี้เมาคนหนึ่งเดินอ้อแอ้ผ่านทางเห็นเด็กหญิงนั่งก้มหน้าตรงทางสาม แพร่ง พยายามชวนให้กลับบ้านอย่างไรเด็กหญิงก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จาไม่สนใจ จนเขาเดินผ่านไปอย่างหัวเสีย สร่างเมาเล่าให้คนฟัง จากปากสู่ปากจากหูสู่หูมาเข้าหูแม่ของเด็กหญิง เป็นที่มาของอาหารคาวหวานที่แม่เด็กนำมาวางไว้บนทางสามแพร่งจุดที่ลูกเสีย ชีวิต
ไม่นานก็มีคนมาจุดธูป มีคนอื่นมาวางของเซ่นไหว้ มีคนอ้างว่าขอหวยถูก เสื้อผ้าน่ารักๆ สไตล์วัยรุ่นชอบกันก็ถูกนำมาวาง ไม่นานจากแค่วางก็กลายเป็นราวแขวน จากราวแขวนราวเดียวก็เพิ่มจำนวนขึ้น รถราแล่นผ่านจุดนี้ก็ต้องชะลอเพราะนอกจากจะหยุดดู ที่มาบนมาขอหวยมาแก้บนก็ออกันแน่น ข้าวของบนของแก้ก็วางเปะปะกินเลยผิวถนน มีคนมาสร้างเพิงไม้ มีคนมาวางตุ๊กตาเด็กหญิง มีคนมาเรียกว่าศาลเจ้าแม่เด็กหญิง ที่สุดก็กลายเป็น "ศาลเจ้าแม่เด็กหญิง" บนทางสามแพร่งของคนจำนวนมาก
แม่ของเด็กหญิงไม่เพียงขายหมู ปิ้ง เธอยังขายสารพัดของราวกับร้านบูติก เสื้อผ้าวัยรุ่น ของสำหรับเซ่นไหว้ ธูปเทียนดอกไม้มีให้บริการเซ่นไหว้เจ้าแม่ กิจการดีจนต้องจ้างลูกจ้างเพิ่ม มีรายได้นับหมื่นบาทต่อวัน นำพาผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกที่ โดยเฉพาะวันหวยออก ทำให้การสัญจรเริ่มไม่ลื่นไหล รถติดขัดมากขึ้น คนในชุมชนบางส่วนเริ่มไม่พอใจ แต่ที่ชอบใจก็ไม่น้อยเพราะนำข้าวของอาหารคาวหวานน้ำดื่มมาวางขายรอบๆ สร้างรายได้แก่ตนเอง
คืนหนึ่งตาแก่ขี้เมาคนนั้นเดินโอนเอนไป มาผ่านศาลเจ้าแม่ฯ ตอนตีสาม เห็นเด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าศาล จึงถามว่ามานั่งร้องไห้ทำไมกัน เด็กหญิงตอบว่า
"หนูไปผุดไปเกิดไม่ได้เสียที มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ หนูเหนื่อย" ตาแก่ฟังแล้วขนลุกซู่แทบสร่างเมา
รุ่ง ขึ้นเที่ยวเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟัง แน่นอนเรื่องมาถึงหูแม่ของเด็กหญิง เธอร้องไห้คร่ำครวญสงสารลูก เธอเชื่ออย่างจริงจังเหมือนคราวแรกที่มีคนมาบอก รุ่งขึ้นเธอลงมือรื้อศาลด้วยตัวเอง เลิกขายทุกอย่าง แม้มีคนห้าม เธอก็ไม่สนใจ มีคนมาฉุดมายื้อแย่งหาว่าเธอบ้าไปแล้ว สารพัดจะว่ากล่าวตำหนิเธอก็ไม่สน กรรมการชุมชนบางคนและคนที่ไม่พอใจแต่แรกเข้ามาสนับสนุนเธอ ศาลถูกรื้อทิ้งในเวลาต่อมา ข้าวของที่นำมาแก้บนถูกนำไปเผาราวกับกองเศษขยะ
ทุกวันนี้ทางสามแพร่งนั้นไม่มีแล้ว ซอยนั้นก็ถูกเวนคืนไปทั้งซอยกลายเป็นถนนสายใหญ่ 8 เลน ไม่เหลือซากให้คนได้จดจำอีกต่อไป