บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

กระทู้ฮ็อต pantip เรื่องดีดีที่อยากแชร์ 

::บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร แชร์ประสบการณ์ เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 1332054
............................

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้อยากแชร์เรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง ที่อาจจะมีสาระ หรือไม่มีสาระบ้าง แต่อย่างน้อย ก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้คนอื่นได้รับรู้ค่ะ คิดว่าคงพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เนื้อหาอาจจะยาวซักหน่อยนะคะ ยังไงจะพยายามแยกประเด็นใหม่ในแต่ละ comment แทนเนาะ จะได้อ่านง่ายๆ

และขอเตือนอีกครั้ง เนื้อหาอาจเป็นเรื่องส่วนตัวที่อาจจะไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าซะทีเดียว แต่เราก็อยากเล่าค่ะ ถือซะว่า กำลังอ่านบันทึกของใครคนนึงเพลินๆละกันนะคะ ^^

ปล. เราขอไม่เอ่ยสถานที่ หรือสถาบันใดๆนะคะ บอกตรงๆ แค่อยากแชร์เรื่องราวค่ะ แต่ไม่อยากให้รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรที่ไหน ถ้าใครรู้หรือพอเดาๆออก ก็จุ๊ๆไว้นะคะ
แต่ถ้าอยากรู้หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา สามารถสอบถามมาหลังไมค์ได้ค่ะ
-----------------------
เริ่มเลยนะคะ ขอบอกประวัติตัวเองคร่าวๆก่อนว่า เป็นผู้หญิงธรรมดา ทั่วๆไปค่ะ อายุ 25 ปี การศึกษาก็เคยเรียนจบป.ตรีทางด้านสื่อสารมวลชน และตอนนี้กำลังต่อป.โท ในสาขาปรัชญาและศาสนา (ซึ่งตอนนี้กำลังง่วนกับทีสิสอยู่เลยค่ะ) ส่วนตัวเคยทำงานด้านตัดต่อวิดีโอกับบริษัทแห่งนึงมาได้ประมาณแปดเดือน สุดท้ายก็ลาออกมาเรียนต่อป.โท ปัจจุบันไม่ได้ทำงานค่ะ อาศัยเงินจากทางบ้านส่งให้ใช้

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ เกือบถูกรถชน ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากหรอกค่ะ คือตอนนั้นเดินเลียบถนนอยู่ถึงช่วงทางแยกที่จะมีรถเลี้ยวเข้าออกไรงี้ เราก็ว่าดูทางดีแล้วนะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผิดพลาดอะไรยังไง รถคันนั้นพุ่งมาเร็วมาก แบบผิดวิสัยของรถที่ปกติถ้าจะเลี้ยวก็ต้องชะลอความเร็วกันนิดนึงใช่มะคะ เราแบบเฮ้ย ตกใจแรงมาก แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นอะไรค่ะ แต่แค่รู้สึกเฟลมาก เลยไปบ่นลงเฟซบุคตามประสาคนติดโซเชียล

แล้วทีนี้ค่ะ ไม่มีใครสนใจเลย...

คือถ้าเป็นปกติอย่างน้อยก็น่าจะมีคนมีถามแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น ตรงไหนแก อะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะ หรือถ้าสนิทกันก็อาจจะโทรถาม แต่นี่คือแบบ...เงียบมาก

แต่ที่เราเจ็บปวดคือ หลังจากที่ตามเชคเรื่อยๆ บรรดาเพื่อนๆในเฟซทั้งหลายแหล่ ส่วนใหญ่ก็โพสต์รูปไปมีตติ้งบ้าง รูปไปเที่ยวนู่นนี่นั่นแบบแฮปปี้ดี๊ด๊าบ้าง หรือทำกิจกรรมสุดเก๋ สุดฮิป อะไรกันก็ว่าไป

คือตอนนั้นเราแบบเจ็บจี๊ด คือรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของทุกคนเลยค่ะ ไม่มีใครสนใจไม่พอ พอเขาไปเที่ยวกัน เขามีความสุขกัน ทำไมเขาไม่นึกถึงเราเลย เราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกัน เคยสนิทกันไม่ใช่เหรอ? นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจ ณ ตอนนั้นค่ะ

หลังจากที่คิดวนเวียนซ้ำๆอยู่ทั้งคืน คือร้องไห้ และนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ต่อด้วยการโพสต์สเตตัสที่เวิ่นเว้อที่สุดในสามโลกแบบยาวเหยียดตอนดึกๆ คือเครียดมาก ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ รู้นะคะว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากกกกกๆ ทำไมถึงเอาแต่เก็บมาคิดมากอยู่ได้ แต่ ณ จุดนั้น อาจจะสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล ความเหนื่อย ความเครียดที่สะสมมานาน คือร้องไห้ทั้งคืนจนนอนไม่หลับ แบบไม่หยุดเลย

จริงๆเราเคยมีอาการแบบนี้มาแล้วสองสามครั้งค่ะ แต่ก็ผ่านมาได้ ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่บ้างก็ตาม จนเราเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว อยู่ๆก็คิดอยากจะไปพบจิตแพทย์ค่ะ คือสรุปว่าคืนนั้นร้องไห้ไปด้วย นั่งเสิร์ชหาข้อมูลไปด้วยว่าควรจะไปโรงพยาบาลไหนอะไรยังไง เสร็จสรรพ ราวๆตีสี่ ตีห้าค่ะ คือร้องไห้จนเหนื่อย จนล้า ก็เลยหลับตานอนได้ในที่สุด

คือขอบอกก่อนว่าช่วงที่รู้สึกแย่และพีคมากๆนี้มันเกิดประมาณวันพฤหัสค่ะ พอวันศุกร์ดันตื่นสายอีก เลยทำได้แค่โทรไปสอบถามข้อมูล แต่ก็ไม่ได้นัดหมอหรืออะไรนะคะ เพราะทำไม่ทันแล้ว อีกอย่างต้องทำประวัติคนไข้ก่อนด้วย สรุปก็เลยกะว่าจะรออาทิตย์หน้า แล้วดันติดวันหยุดยาวอีก คือรอไปหลายวันมากค่ะกว่าจะได้ทำเรื่องพบหมอ

พอวันรุ่งขึ้นสายๆ เพื่อนที่เรียนป.โทด้วยกันที่เห็นสเตตัสเวิ่นเว้อนั้น ก็นัดเจอไปหาอะไรอร่อยๆกินกันตอนบ่ายๆ จะได้พบปะพูดคุย เผื่ออะไรจะได้ดีขึ้น
ก็ไปค่ะ

จริงๆเหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็อยากเจอใครสักคนค่ะ อยากพูด อยากระบาย 


พอได้คุยกันก็ทำให้ได้รู้ว่าเพื่อนของเราคนนี้ก็เคยมีอาการซึมเศร้า ไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งนึงของรัฐ ไประบายให้หมอฟังกว่าหลายชั่วโมง แล้วหมอก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าให้ยาไปกิน เพื่อนบอกว่ายาที่ได้มาก็ดีนะ กินแล้วมีความสุขมาก แต่ก็รู้สึกหลอกตัวเอง เพราะที่มีความสุขเป็นเพราะยา ไม่ได้มาจากใจ จากความรู้สึกจริงๆ เพื่อนก็เลยหยุดกินยา หยุดพบหมอค่ะ เพราะคิดว่าหมอแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น จริงๆแล้วไม่ได้เข้าใจในตัวคนไข้เลย(อันนี้คือสิ่งที่เพื่อนเราพูด)

เพื่อนเราก็เลยเลือกที่จะปรับเปลี่ยนที่ทัศนคติ แล้วหันมาคุยกับตัวเอง ใส่ใจกับความคิดของตัวเองมากขึ้นแทนค่ะ ปัจจุบันก็ดูชีวิตเป็นปกติสุขดีนะคะ เท่าที่เราเห็น

คือตอนนั้นเราก็ปรึกษาแหละค่ะว่าอยากลองพบจิตแพทย์ดู คือมันไม่ไหวแล้ว เรารู้สึกตัวเองเป็นคนนอก เป็นส่วนเกินของกลุ่มเพื่อน ของสังคมตลอดเวลา สำหรับเรา คิดว่าไม่มีเพื่อนคนไหนที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเพื่อนสนิทเลยค่ะ เหมือนตัวคนเดียว แล้วยิ่งพอคิดย้ำไปย้ำมาแบบนี้เราก็ยิ่งร้องไห้ค่ะ สรุปวันนั้นเราร้องไห้กับเพื่อนกันทั้งคู่เลยค่ะ ฮา

หลังจากกลับมาก็ยังคงมีน้ำตาซึมๆอยู่บ้างค่ะ
วันรุ่งขึ้น 


วันเสาร์ เราต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดค่ะ เพราะว่าต้องกลับไปเยี่ยมยายทุกอาทิตย์ ก่อนหน้านี้ยายเคยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบค่ะ มีอาการคล้ายคนเป็นอัมพาตครึ่งซีกเลย ดีที่รักษาทัน ปัจจุบันช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องมีคนคอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนค่ะ ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าโรคจะกลับมากำเริบอีกเมื่อไหร่ ปัจจุบันยายอยู่กับป้าตลอดค่ะ โดยมีลูกๆหลานๆแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างตามโอกาส แต่เราก็จะพยายามกลับไปทุกอาทิตย์ค่ะ
แล้ววันเสาร์ช่วงเย็นๆค่ะ เรากลับถึงบ้านแล้วแหละ เพื่อนอีกคนที่เรียนป.โทด้วยกัน(คนละคนกับคนแรก) ก็โทรมาหา ประมาณว่าเห็นสเตตัสเวิ่นเว้อนั้นด้วย แล้วก็เดาๆว่าคงเครียดๆเรื่องที่บ้านของตัวเองด้วยอะไรด้วย ก็เลยอยากคุยกันประมาณนั้น

เราก็คุยไปว่า เรารู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้นะ มันไม่โอเคเลยว่ะ หลังจากนั้นก็คุยเรื่องของเพื่อนคนนั้นไปบ้าง เราก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกค่ะ รู้แค่ว่าการได้พูดคุยกับเพื่อนคนนี้ทำให้ความคิดเราวนเวียนกลับมาที่ความรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ไม่มีใครยอมรับ ความรู้สึกฝืนพยายามทำตัวเป็นคนดี เพราะกลัวโดนคนอื่นเกลียด

สรุปคืนนั้นเราร้องไห้อีกแล้วค่ะ ขนาดนอนข้างๆยายเลยนะคะ แต่ก็พยายามนอนหันหลังให้ แล้วก็ไม่ได้สะอื้นค่ะ แค่น้ำตาไหลนอง จนนอนไม่หลับค่ะ ถึงราวๆตีสอง เครียดมาก จนหยิบมือถือมาเล่น มาทำนู่นทำนี่ ดูทีวี ก็ไม่หลับ เครียดก็เครียด น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือชีวิตมีปัญหามากค่ะ

วันเวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆค่ะ ทรมานมาก บอกตรงๆ ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่ทุกคืนกว่าจะข่มตานอนได้ยากมาก แถมเรายังต้องตื่นแต่เช้ามาอุ่นกับข้าว ทำอาหารให้ยายกินอีก คือเหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ ก็ไม่มีใครทำ ป้าตื่นสายมาก บางทีก็แปด เก้าโมงโน่น

ซึ่งตอนเราไม่อยู่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าเค้าอยู่กันยังไงนะคะ บอกตรงๆสงสารยายมากค่ะ ขนาดยาหลังอาหารทุกมื้อ ป้าเรายังให้ยายหยิบกินเองเลยค่ะ แต่จะแยกไว้ให้ว่ากองไหนมื้อเช้า มื้อเย็น แต่ถ้าเราอยู่บ้านหน้าที่พวกนี้เราจะทำเองค่ะ เพราะยายก็แก่มากแล้ว งกๆเงิ่นๆ ไม่รู้ว่าแกหยิบยาถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราเป็นหลานไงคะ บอกอะไรไปก็ไม่มีใครฟัง เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

จนผ่านมาถึงวันจันทร์ วันนี้เราต้องกลับมาที่กรุงเทพฯค่ะ จะได้เตรียมมาทำเรื่องอะไรให้เรียบร้อย จะได้นัดหมอซะที ตอนนั้นบอกกับตัวเองในใจค่ะ ว่าอีก


ไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าเราได้พบหมอ เราก็คงรู้แหละว่าเราเป็นอะไร มีอะไรผิดปกติกันแน่

วันอังคาร
เราไปที่โรงพยาบาลแต่เช้าเลยค่ะ แต่เนื่องจากที่พักเราอยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก แบบคนละทางเลย 555 กว่าจะไปถึงก็สิบโมงได้ แต่ก็ยังทันไปทำประวัติผู้ป่วยได้ค่ะ แป๊บเดียวเอง ได้บัตร ได้เลขทะเบียนผู้ป่วยใหม่เรียบร้อย แล้วก็กะว่าจะขึ้นไปนัดพบหมอที่แผนกจิตเวชซะเลย ใจก็คิดว่านัดหมอไว้ก่อน อาจจะได้พบหมอวันอื่นๆถัดไปก็ไม่เป็นไร

แต่คือพอขึ้นไปถึงแผนกจิตเวชปุ๊บ ตอนนั้นคือเรารู้สึกแบบเครียด และกดดันขึ้นมาดื้อๆเลยค่ะ รู้สึกว่าเราต้องกลายเป็นคนไข้ของแผนกนี้จรึงๆเหรอเนี่ย แล้วเราก็เดินเข้าไปในแผนกจิตเวชค่ะ


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

ณ ชั้น 7 แผนกไร้ชื่อ

ชั้นนี้เป็นชั้นของแผนกจิตเวชค่ะ แต่มีแผนกอื่นด้วยคือ โลหิตวิทยา รึไงเนี่ยแหละ กับอีกห้องที่มีประตูกระจกโล่งๆ ไม่ได้มีป้ายชื่ออะไรบ่งบอก หรือแสดงตัวเลยว่าเป็นแผนกอะไรกันแน่ ตอนนั้นเราก็งงๆ เพิ่งมาครั้งแรก ก็คิดว่าก็ขึ้นมาถูกชั้นนี่หว่า แล้วแผนกจิตเวชอยู่ตรงไหน ทำไมไม่มีป้ายบอก จนต้องบากหน้าไปถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนแถวๆนั้นว่าแผนกจิตเวชอยู่ตรงไหนคะ เค้าก็ชี้มาทางห้องโล่งๆ ไม่มีชื่อ ไม่มีป้ายบอกนั้นแหละ เราก็ อ้อ ค่ะๆ ขอบคุณนะคะ แล้วก็เดินเข้าไป

เราก็เห็นมีคนนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ประปราย ทุกคนก็ดูปกติกันมากค่ะ คือพูดไงดีล่ะ ก็เหมือนคนที่พบเห็นได้ทั่วไปอ่ะค่ะ ดูไม่เจ็บไม่ป่วย เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้คือความเย็นชา และบาเรียของแต่ละคนค่ะ ทุกคนจะไม่มีการพูดคุยหรือสุงสิงกัน จะอยู่แยกกันแบบปัจเจก ต่างคนต่างอยู่อ่ะค่ะ คือถ้าเป็นบรรยากาศตามโรงพยาบาล(อาจจะเฉพาะแถวบ้านนอกของเราก็ได้มั้งคะ) คนไข้ หรือญาติก็มีการพูดคุยกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้างอ่ะค่ะ แม้จะไม่รู้จักกัน ก็อาจมียิ้มให้กันบ้าง แต่ที่นี่คือความเมินเฉยค่ะ เรามาใหม่เข้าไปก็งงค่ะ ไม่รู้จะต้องติดต่อใคร อะไร ยังไง พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ดูยุ่งๆกันหมด เราเลยไปนั่งนิ่งๆแป๊บนึงดูท่าทีว่าต้องทำไงบ้าง

สักพักก็รวบรวมความกล้าไปหน้าเคาน์เตอร์ค่ะ ไปถามพยาบาลว่าจะนัดหมอต้องทำยังไง ตอนนั้นก็พยายามไม่เครียด ไม่คิดอะไร แต่พอพยาบาลถามอาการว่าเป็นอะไรมาคะ ตอนนั้นคือร้องไห้ออกมาเลยค่ะ แบบหยุดไม่อยู่จริงๆ แล้วก็พูดทั้งน้ำตาออกไปว่าเครียดค่ะ พยาบาลก็ถามอีก เป็นมานานเท่าไหร่แล้วคะ เราก็คำนวณไว้น่าจะสี่ห้าวันได้

ง่ายๆก็อาทิตย์นึงได้มั้ง คุณพยาบาลก็ยื่นทิชชูให้ แล้วก็บอกว่าตอนนี้คิวเต็มแล้วนะคะ นัดให้ไม่ได้จริงๆ เราบอกไม่เป็นไรค่ะ แค่จะมานัดคลินิคพิเศษไว้ก่อน พยาบาลบอกถ้ายังไงเป็นสี่โมงเย็นวันนี้เลยสะดวกมั้ยคะ

ตอนนั้นคือแบบ โหย พยาบาลใจดีจัง นี่ไม่นึกเลยว่าจะมาแล้วนัดได้วันนี้เลย สุดท้ายก็ตอบตกลงไป สี่โมงเย็นนะ พยาบาลรับเรื่องเรียบร้อย ส่วนเราก็กลับไปรอที่หอก่อน

ตอนเดินออกมาจากแผนกนี่อย่างกะนางเอกเอ็มวีอ่ะ เดินร้องไห้ ลงบันไดด้วยนะ ไม่ใช้ลิฟต์ คิดดู ฟีลลิ่งมาเต็มมาก 555


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

พบกับจิตแพทย์ครั้งแรก

เราเริ่มออกเดินทางตอนประมาณบ่ายสองครึ่งได้มั้ง แล้วรถตู้ก็ดันมาขาดช่วงอีก คือเครียดมาก กลัวไปไม่ทันนัดสี่โมงเย็น แล้วแถวนั้นรถติดอย่างกับอะไรดี ใจนี่ก็ลุ้นระทึกไปตลอดทาง แต่สุดท้ายก็มาทัน

ระหว่างนั้นก็รอ รอ และรอ เราเป็นคิวแทรก กว่าจะได้ตรวจก็ราวๆทุ่มนึงได้มั้ง เพราะก่อนหน้าเราก็มีคนไข้มาหลายคนเหมือนกัน ราวๆ 4-5 คนได้มั้ง แล้วแต่ละคน คุณพระ เข้าไปทีไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ตอนนั้นเราเองก็มีร้องไห้เป็นระยะๆ ร้องๆหยุดๆอยู่อย่างนั้นแหละ จนในที่สุดก็ได้เข้าพบหมอ

คุณหมอของเราเป็นผู้หญิง ดูใจดีๆ เราเข้าไปนี่ร้องไห้แรงมาก แบบพูดอะไรไม่รู้วุ่นวายไปหมด(ตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง) แต่จำได้ว่าพูดถึงสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเฟลในครั้งนี้คือไอ้เรื่องเฟซบุคนั้นแหละ(ติงต๊องเนอะ) แล้วหมอก็ถามเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย คุยกันได้สักพักหมอก็สรุปว่าเราเป็นโรคซึมเศร้านะ คือตอนนั้นเราไม่เชื่อหูเลย

แบบ หะ? หมอหนูเนี่ยนะเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ใช่ม้าง หนูไม่ได้คิดอยากตายซะหน่อยนะหมอ หนูแค่ร้องไห้ กับเครียดเอง หมอบอกนั่นแหละเป็นโรคซึมเศร้า แต่อย่างเราเนี่ยเป็นนิดเดียว แต่ยังไงดูจากอาการก็คือเป็นโรคซึมเศร้านั่นแหละ

ตอนนั้นก็อึ้งๆไปเหมือนกันนะ แต่ก็ต้องยอมรับการวินิจฉัยของหมอแหละ หมอบอกยังไงช่วงนี้อยากให้กินยาระงับอาการซึมเศร้าไปก่อนนะ ตอนนั้นเราต่อต้านมาก คือไม่อยากกินยา เพราะเคยรู้มาว่ามันมีผลข้างเคียงนะ เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เบลอ ฯลฯ บอกตรงๆเรากลัวมาก เรายังต้องเรียน ต้องอ่านหนังสือ ยังมีกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวัน เราปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก หมอก็เลยอธิบายว่าจริงอยู่ที่ยามีผลข้างเคียง แต่หมอรับรองว่ายาที่หมอให้ไม่มีฤทธิ์ทำให้เบลอหรือใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้แน่นอน ยังไงหมออยากให้ลองกินเพื่อปรับสารเคมีในสมองให้สมดุลก่อน ไว้อารมณ์ดีขึ้น เราค่อยมาคุยกัน หรือปรึกษากันใหม่นะ(คือตอนนั้น ร้องไห้ตลอดเวลาจริงๆ)

สุดท้ายเราก็ตกลง หมอก็ให้ยามาหนึ่งตัว เป็นยาก่อนนอน ให้กินครึ่งเม็ดไปก่อน แต่ยังไงถ้าร่างกายปรับสภาพได้แล้วหมอก็แนะนำว่าให้กินเต็มเม็ดไปเลยจะดีกว่า และก็แนะนำให้เข้าคลินิกคลายเครียดไปพบกับหมอนักจิตวิทยาบำบัด(มั้ง เราเรียกไม่ค่อยถูก)
หลังจากนั้นก็ออกมารับใบสั่งยา และก็ใบนัด โชคดีมากที่วันรุ่งขึ้น มีคิวว่างของคลินิกคลายเครียดพอดี แต่เป็นตอนเก้าโมงเช้า เราก็เอาวะ อุตส่าห์มีคิวแล้ว ตกลงจองเลย แล้วก็ไปจ่ายค่าหมอ ค่ายา

สรุปค่าใช้จ่ายวันนั้น ราวๆ 6-700 ได้มั้ง ค่าหมอ เพราะเป็นคลินิกพิเศษนอกเวลาก็เลยแพงหน่อย ราวๆ 500 ค่ายา 75 บาทเองมั้ง มีตัวเดียว กับค่าอะไรไม่รู้อีก 40-50 บาทที่เบิกไม่ได้ จริงๆก็เบิกไม่ได้ทั้งหมดนั่นแหละ เพราะเราไม่ได้ใช้สิทธิ์อะไรเลย จ่ายเองนะฮะ

แต่ว่าคุณหมอก็ใจดีนะ ย้ายเวลานัดครั้งต่อๆไปของเรา จากนอกเวลา มาเป็นในเวลาราชการ ซึ่งค่าใช้จ่ายมันก็ถูกลงจากเดิมมากเลย
คืนนั้นเราก็ชั่งใจคิดอยู่ว่าจะกินยาดี ไม่กินดีว้า กลัวกินไปแล้ว นอนเพลินหลับไม่ตื่นล่ะจะทำยังไง คือถ้าจะไปให้ทันเก้าโมงเนี่ย เราต้องตื่นแต่ตีห้าเลยนะเออ ไม่งั้นไม่ทัน รถจะติดอีก ก็เลยสรุปว่ายังไม่กิน(คือไม่ไว้ใจยา) แล้วก็เหนื่อยจนผล็อยหลับไปราวๆเที่ยงคืน

วันรุ่งขึ้น ตื่นมาตามเวลาเป๊ะ อาบน้ำแต่งตัว ไม่มีอะไรพอดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว ออกเดินทางรอรถเมล์เพียงชั่วอึดใจก็ได้ขึ้น ได้นั่งด้วย แล้วก็ต่อรถอย่างชิวๆ ก็ไปถึงที่หมายทันเวลา ก็ขึ้นไปรอหมอ ของเราน่าจะคิวแรกมั้ง

เหมือนเดิมระหว่างที่รอ สภาพบรรยากาศเดิมๆ ชวนอึดอัด

ระหว่างนั้นเหล่าคุณพยาบาล และเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนช่องทีวี แล้วก็บอกว่ามีกิจกรรมให้ทุกคนร่วมกันในตอนเช้า มีการเปิดวีดิทัศน์วิธีการผ่อนคลายความเครียด โดยการให้ทุกคนหลับตา ทำสมาธิ นั่งตามสบาย บอกตรงๆตอนนั้นไม่รู้จู่ๆความเครียดมาจากไหน จากที่ตอนแรกมาอย่างอารมณ์ดีๆเลยนะ อยู่ๆก็ร้องไห้โฮท่ามกลางผู้คนเลยจ้า แบบไม่สนสายตาใครเลย (และแน่นอนก็ไม่มีใครสนใจเราด้วย) ยิ่งตอนที่ในวิดีทัศน์พูดว่า ให้บอกกับตัวเองว่า
"ฉันเป็นคนดี ฉันมีความสุข" 


คือตอนนั้นร้องไห้แรงเลย สะอื้นจนตัวสั่น เก้าอี้สั่นไปหมด โชคดีที่เรานั่งอยู่คนเดียว ตอนนั้นทรมานมากพูดเลย

หลังจากวีดิทัศน์นั้นจบลง พยาบาลก็ขานชื่อเรา ซึ่งก็ยังคงร้องไห้เบาๆอยู่ เราก็งงนะไม่รู้ว่าต้องไปนั่งรอตรงไหน ยังไง ก็เดินตามคนอื่นๆที่เขาโดนขานชื่อก่อนหน้าไป แล้วก็ไปนั่งแหมะอยู่หน้าห้องตรวจ ร้องไห้ไปด้วย ไม่ยอมหยุด จนเจ้าหน้าที่คนนึงก็เดินมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย เราก็บอกว่าไม่เป็นไรค่ะ คุณเจ้าหน้าที่บอกว่ามีอะไรบอกได้นะครับ ทางเราอยากช่วย นั่นแหละค่ะ คือรู้สึกขอบคุณทุกคนมากจริงๆที่เอาใจใส่เราขนาดนี้ นี่ก็พาลนึกไปถึงที่บ้านเรา หรือกับคนอื่นๆ เค้าคงไม่ใส่ใจเราขนาดนี้หรอก ยิ่งถ้าเราร้องไห้ต่อหน้าแม่นะ โดนด่าเปิงอ่ะ แถมตวาดให้ด้วย เมิงเป็นเชี่ยอะไร? ร้องทำไม? มีอะไรเครียดนักหนา? #!@&=


สำหรับเรา การร้องไห้มันเลยรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่ผิดมากอ่ะ แต่ก็ทำไงได้ เราเองก็เป็นคนร้องไห้ง่ายๆอยู่แล้วด้วย แต่ทุกครั้งก็พยายามไม่ให้ใครเห็นนะ


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

และเราก็ได้พบกับคุณหมอ คลินิคคลายเครียด

ครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากัน เรานั่งร้องไห้อยู่ ส่วนคุณหมอยิ้มให้แบบใจดี คุณหมอถามว่ามากับใครคะ ตอนนั้นคือเรามาคนเดียวไง แล้วแบบคือเซนซิทีฟมากกับคำว่าคนเดียว ลำพัง ตอนนั้นจำได้เลยว่าตอบไปทั้งน้ำตาว่ามาคนเดียวค่ะ สะอึกสะอื้นด้วยอีกนะ

เมื่อเข้าไปในห้อง คุณหมอก็พูดคุย ทักทาย แล้วก็อ่านแฟ้ม อ้อ มีอาการน้อยใจเพื่อน ไหนเล่าให้หมอฟังซิ

เราก็เล่าๆ เรารู้สึกเหมือนกับว่าทุกครั้งเวลาเพื่อนมีปัญหา ทุกคนก็จะนึกถึงเรา แต่พอเป็นเรามีปัญหาบ้าง ทำไมมันรู้สึกไม่มีใครที่พร้อมจะรับฟังเลยล่ะ

แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจและก็รู้นะว่า แต่ละคนต่างก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะให้มาสนใจตลอดเวลาคงไม่ได้ แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดีแหละค่ะ เพราะบางทีที่เรามีปัญหา ไปปรึกษาเพื่อน สิ่งที่ได้กลับมามันทำให้รู้สึกแย่กกว่าเดิมอ่ะ คือนอกจากจะไม่ได้รับกำลังใจหรืออะไรดีๆกลับมาแล้ว บางทีคำพูด มันก็ทำให้รู้สึกแย่ เช่น เฮ้ย เรื่องนิดเดียวเองจะเก็บมาคิดมากทำไมวะ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าเพื่อนไม่เคยเห็นความสำคัญของปัญหาเราเลย

จากที่ฟัง คุณหมอก็เลยสรุปว่า เราก็ดูเข้าใจในเหตุผลนะ แต่บางทีอารมณ์มันไม่ตามไปกับเหตุผลด้วย แล้วก็การที่เพื่อนพยายามมองปัญหาเราว่าเล็ก หรือเป็นการ minimize ปัญหา จริงๆหมออยากให้มองว่าเจตนาของเพื่อนก็คือแฝงไปด้วยความเป็นห่วงนะ ไม่อยากให้เราคิดมาก หรือเครียด
ลองมองย้อนกลับ สมมุติว่ามีเพื่อนมาปรึกษาปัญหากับเรา หมอถามว่า เราจะมีอารมณ์ร่วมหรือให้ความสำคัญกับปัญหาของเพื่อนคนนั้นแค่ไหน ซึ่ง

เราก็ตอบไปว่าอย่างมากก็คงแค่ 50% ค่ะหมอ

ซึ่งหมอก็บอกว่า คนเราก็มีสิทธิ์นะที่จะคิด หรือจะพูดยังไงก็ได้ตามความคิดของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะ ที่อยากให้มองคือที่เจตนามากกว่า ว่าเขาก็เป็นห่วงและหวังดีนะ เห็นมั้ย ถ้าลองมองกลับกัน เราเองก็ยังไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับปัญหาของคนอื่นมากนักเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ห่วง ไม่สนใจเพื่อนคนนั้นนี่ จริงมั้ย

แล้วหมอก็ถามอีก แล้วเพื่อนรู้มั้ยว่าเราต้องมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ เราบอก เพื่อนไม่รู้ค่ะ ไม่กล้าบอก ไม่อยากบอกใคร เพราะทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองมากพออยู่แล้ว

หมอก็ถามว่างั้นลองสมมุตินะว่าถ้าเป็นเรารู้ว่าเพื่อนคนนึงทุกข์ใจมาก มานั่งร้องไห้คนเดียวจนไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าเรารู้เข้า เราจะทำยังไง คิดยังไง

เราก็ตอบว่า ก็คงแบบ เฮ้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ ทำไมไม่บอกกันล่ะ มีปัญหาอะไรมาคุยกันได้ เออ เป็นห่วง

หมอก็บอก นี่ไง เพื่อนก็อาจจะคิดแบบเดียวกับที่เราคิดอยู่นี่แหละ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าไม่อยากบอกให้ใครรู้เลยจริงๆ หมอก็ถามว่าเพราะอะไร ซึ่งเราก็ตอบว่า เพราะเราเองเวลาเพื่อนมาบ่นหรือระบายอะไรให้ฟัง ก็ไม่ค่อยจะชอบใจนักหรอก เหมือนทุกอย่างมันโถมมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ต้องฝืนทนฟัง ในฐานะเพื่อนที่ดี(ก็ถ้าเราไม่ฟัง แล้วใครจะฟังล่ะ) พอคิดแบบนี้ก็เลยคิดว่าอยากเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ที่ตัวเองมากกว่า เพราะลึกๆก็เป็นห่วงกลัวว่าคนอื่นจะพลอยเครียดไปด้วย

มาถึงตรงนี้หมอก็คงมีแอบถอนใจเบาๆกับความคิดของเราบ้างแหละ 55 หมอบอกดูมันซับซ้อนนะ แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนดีคนนึงเลยนะ หมอถามมาคำนึงว่า เหนื่อยมั้ย

ค่ะ แค่คำว่า เหนื่อยมั้ย คำเดียวก็เรียกน้ำตาจากเราได้อีกแล้ว เราพยักหน้าไป บอกเหนื่อยค่ะ หมอก็เลยบอกว่าบางทีการที่เราร้องไห้ออกมาอาจเป็นเพราะร่างกายมันต้องการบอกว่าอะไรบางอย่าง คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง การเรียน หรืออะไรหลายๆอย่าง

ซึ่งก็จริงอย่างที่หมอว่า คือเรายังไม่เคยได้พักแบบจริงๆเลย ทั้งการเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด การเดินทางมาโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งการเรียนดนตรีซึ่งกลายเป็นสิ่งกดดันเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หมอก็เลยแนะนำว่า งั้นพักก่อนมั้ย สักวันนึง

เราก็โอเค ตกลงค่ะ

สุดท้ายหมอก็ถามว่า มีอะไรอยากจะบอกอีกมั้ย

เราก็เลยถือโอกาสบ่นซะเลย 555 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่คนอื่นมักไม่ให้ความสำคัญกับเรา เช่น บางที รอต่อคิวซื้ออาหารอยู่ ก็โดนแซงคิว หรือสั่ง
กับข้าวไปอย่าง แต่แม่ค้าฟังผิดก็ได้อีกอย่าง คือแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้แหละ แต่มันดันเกิดกับเราบ่อยๆ ซ้ำๆ หรือบางทีก็มีคนชอบมองว่าเราเป็นคนแปลก ประหลาด ซึ่งเรารับไม่ได้เลย

ทุกวันนี้ก็ยอมคนอื่นมาตลอด ชีวิตมีแต่คำว่าอดทน กับพยายาม และก็รู้สึกฝืนทุกครั้ง ทั้งที่จริงๆก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นั่นแหละ เรารู้สึกโหยหาการยอมรับจากคนอื่น แคร์สายตาคนรอบข้างมากๆๆๆ ต้องพยายาม ต้องฝืนทำตัวเป็นคนดี ทำตัวตามคาดหวังของคนอื่น เพราะไม่อยากโดนเกลียด หมอก็เลยถามว่า สรุปแล้วค่าของตัวเราเองนี่อยู่ที่เราหรืออยู่ที่คนอื่นคะ

เราบอกค่าของเราก็อยู่ที่ตัวเราเองสิคะ แต่คุณหมอบอกว่า แต่รู้มั้ยที่พูดๆมาเนี่ย เป็นเรื่องของคนอื่นซะ 80% เลยนะ ซึ่งเราก็เพิ่งสังเกต เออ จริงด้วย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ นี่ไม่เคยรู้ ไม่เคยนึกเลยนะ ว่าไม่ได้ใส่ใจคุณค่าของตนเองเลย

แล้วคุณหมอก็แนะนำว่าอยากให้เราเข้ารับการทำ therapy น่าจะเป็นการบำบัดมั้ง เพราะหมอบอกว่าการกินยาเนี่ย มันก็ช่วยรักษานะ แต่ยังไม่ใช่ต้นตอของปัญหา เพราะเดี๋ยวเราเหนื่อยอีก หรือกดดันอะไรอีก ก็จะกลับมาเป็นอีกได้ ซึ่งวิธีทำก็คงเป็นการพูดคุย ปรึกษาทั่วๆไปอะไรประมาณนี้มั้ง เราก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
หมอบอกคอร์สนึงก็อาจจะราวๆ 10 ครั้งได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันนะ เหมือนหมอแค่บอกรายละเอียดให้ฟังเฉยๆ

เราสัญญากับหมอว่าเดี๋ยวจะลองกลับไปกินยาดูก่อน เพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ซึ่งหลังจากที่คุยกับคุณหมอก็ทำให้เราสบายใจขึ้นมากอ่ะนะ

เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรับฟังปัญหา หรือคำพูดของเราขนาดนี้มาก่อน เพราะปกติคนเราทุกคนก็อยากจะฟังแต่สิ่งที่ตัวเองสนใจ หรืออยากฟังกันเท่านั้นใช่มั้ยคะ ไม่ใครอยากมานั่งฟังใครก็ไม่รู้พล่ามอะไรมากมาย ซึ่งเรื่องมันก็อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร ไม่ได้มีผลต่อเราด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะกับเพื่อน เท่าที่เราสังเกต เวลาเราบ่นอะไรให้ฟัง ยังไม่ทันจะได้บ่นถึงจุดสำคัญหรือไคลแม็กซ์ ก็ดูเหมือนเพื่อนจะเริ่มเบื่อซะก่อน ก็จะมีการพูดตัดบทบ้าง ชวนเปลี่ยนเรื่องบ้าง จนบางทีเราอึดอัดไม่อยากพูดให้ใครฟังอ่ะ แต่กับคุณหมอ เออ มันพูดออกมาได้หมดเลย แม้แต่ตอนที่จังหวะการพูดมันตรงกัน คุณหมอก็ปล่อยให้เราพูดออกมาก่อน ไม่ขัด คือแบบไม่เคยมีใครทำกับเราแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ส่วนใหญ่เราก็มักจะเป็นฝ่ายยอม ฟังคนอื่นพูดมาตลอด สรุปคือประทับใจมากค่ะ

แล้วคุณหมอก็พูดทิ้งท้ายอีกนะ ว่าทีหลังมีอะไรไม่สบายใจก็แวะมาพูดคุยกันแบบนี้ได้ ให้ดิฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณนะคะ อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็มีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณแล้วหนึ่งคนนะ เป็นห่วงนะคะ คือแบบแค่นี้เองที่เราต้องการ เราเริ่มรู้สึกเหมือนว่าขีดความสุขเราจากที่ตอนแรกอยู่ที่ศูนย์ ตอนนี้มันเพิ่มมาอย่างน้อยๆก็หนึ่งขีดแล้ว ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ

และหมอก็นัดเจอเราอีกทีในสองอาทิตย์ข้างหน้า(อาทิตย์เดียวกับที่คุณหมอเจ้าของไข้นัดเรามาเจอ) สรุปค่าใช้จ่าย 590 จ่ายเองค่ะ


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

การกินยาครั้งแรก ไม่นึกเลยว่าการกินยาจะน่ากลัวขนาดนี้

กลับถึงห้องตอนบ่ายกว่าๆ เราก็เริ่มทำตามที่หมอว่าเลยค่ะ คือพัก นอนไปเลย เออ ก็รู้สึกดีขึ้น แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ ดูทีวี กินข้าวตรงเวลา

พอมาถึงตอนค่ำๆนี่สิ ความเครียดเริ่มบังเกิด คือไม่อยากกินยาเลยให้ตายสิ อยู่ๆก็รู้สึกกลัวอียาเม็ดเล็กๆแค่ครึ่งเม็ดนี่มาก กลัวกินไปแล้วแพ้รุนแรงจนช็อคจะทำยังไง กลัวกินไปแล้ววันรุ่งขึ้นเราตื่นมาไม่เหมือนเดิม กลายเป็นโรคประสาทหนักกว่าเก่าจะทำยังไงดีวะเนี่ย ความกลัว ความสับสนตีกันยุ่งในหัวไปหมด

แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกินยาเข้าไปค่ะ แล้วก็กะว่าคืนนี้จะรีบนอนแต่หัวค่ำ จะได้ถือเป็นการพักฟื้นไปในตัว

แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ หลังจากที่กินยาไปตอนสองทุ่มเป๊ะ ก็โอเค วันนี้เหนื่อยมามาก อาบน้ำเตรียมตัวนอนเต็มที่ กำลังจะเคลิ้มๆหลับ แต่... ไม่หลับค่ะ คือตาหลับ แต่สมองยังไม่หลับ แบบโอ๊ย ทรมานจังวุ้ย พลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น หนักเข้าก็ต้องหยิบมือถือมาเล่น กะว่าหาอะไรคลายเครียดดูก่อนนอนน่าจะดี สุดท้ายก็ไม่มี ยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมอีก ทีวีที่ตั้งปิดไว้ 1 ชั่วโมง ก็เลื่อนเวลาแล้ว เลื่อนเวลาอีก จากที่จะได้นอนตอนสองทุ่มก็เลื่อนยาวมาเที่ยงคืน โอย ทรมานมากค่ะ
แต่เอาน่ะ เรานอนดึกมาตลอด อยู่ๆจะให้มานอนเร็วสองทุ่มเป็นเด็กอนุบาลอาจจะฝืนเกินไปก็ได้

เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนตีห้ากว่าๆ
เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 6.45 ค่ะ แต่เช้าวันนี้อยู่ๆก็ดันตื่นขึ้นมาเองตอนตีห้ากว่าๆ คือเพลียนะ แต่มันตื่นแล้วอ่ะ เอ้า ตื่นก็ตื่น ก็เปิดทีวีดู ทำนู่นทำนี่
บอกนิดนึงว่าหลังจากที่กินยาเม็ดแรกไปคืออาการสงบลงมาก ไม่ร้องไห้เลยค่ะ ต่อให้คิดถึงเรื่องเดิมวนเวียนซ้ำไปมา ก็นึกถึงได้แบบสบายๆ ถึงจะเศร้าอยู่บ้าง แต่น้ำตาไม่ไหลสักหยด แต่ผลข้างเคียงของยาก็เริ่มมาเลยค่ะ คลื่นไส้ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก ปกติเวลาเครียดๆ หรือกินข้าวไม่ตรงเวลา เราก็คลื่นไส้เป็นปกติอยู่แล้ว แค่นี้สบายมาก ชิวๆ

วันนั้นทั้งวันก็หมดไปกับการพักผ่อน ไม่ได้ออกไปไหนเลยค่ะ นอกจากไปหาซื้ออะไรกินเท่านั้น นอกนั้นก็นอนพักอยู่กับห้อง

ค่ำนี้เราก็กินยาไปอีกครึ่งเม็ด พยายามฝืนให้ตัวเองนอนแต่หัวค่ำเหมือนเดิม และก็ไม่หลับเหมือนเดิม 555

วันรุ่งขึ้นก็เป็นแบบเดิมอีกแล้ว ตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด ก่อนนาฬิกาปลุกของเราจะทำงานซะอีก อยู่ๆก็ตื่นเองค่ะ จริงๆก็ง่วงนะ ตายังปิดอยู่เลย ตาสมองมันทำงานแล้วอ่ะ วันนี้รู้สึกผลข้างเคียงยาแรงกว่าเก่าอีก คือคลื่นไส้แรงเลย ตลอดทั้งวัน อีกทั้งมันจะมีช่วงเวลาพีคอยู่ค่ะ คือช่วงก่อนนอน กับช่วงตื่นใหม่ๆ อยู่ๆความเศร้า ความคิดในอดีตมาจากไหนไม่รู้ วนเวียนๆกันอยู่ในหัวเนี่ยค่ะ จะหลับก็หลับไม่ได้ ทรมานชะมัด

และหลังจากที่คิดมาหลายตลบ บวกกับอาการของยาที่แรงจนทำเราทรมาน ทั้งคลื่นไส้(แต่ไม่อ้วกออกมาหรอกนะ) ทั้งปวดหัว คือทรมานจนทนไม่ไหว รู้สึกแบบอยากบอกให้คนอื่นรับรู้ สุดท้ายก็เลยรวบรวมความกล้าทักแชทเฟซบุคเพื่อนไป เพื่อบอกกกับมันว่าเราเป็นโรคซึมเศร้านะ

และหลังจากที่เพื่อนรู้ คือแบบตอนนั้นในใจเรากลัวมากนะคะว่าเพื่อนจะไม่เข้าใจ แล้วก็พาลรับอาการของเราไม่ได้ กลัวจะโดนมองว่าเป็นกลุ่มคนจิตไม่ปกติ แต่เปล่าเลยค่ะ เพื่อนบอกว่า เออ กุเข้าใจนะ คนสมัยนี้ก็เป็นอะไรแบบนี้กันเยอะ ไม่เห็นน่ากลัวเลย

คือหลังจากที่เห็นเพื่อนตอบกลับมาแบบนั้น เชื่อมั้ยคะ จากที่ยามันกดประสาทไว้ ยังเอาเราไม่อยู่อ่ะค่ะ เราร้องไห้ออกมาเลย คือเหมือนปมในในอย่างนึงก็เคลียไปได้แล้ว โอเค เพื่อนรับได้ ไม่กลัว และหลังจากวันนั้นมาเพื่อนก็พยายามทัก พยายามถามเรื่อยๆเลยค่ะ วันนี้เป็นไง ร้องไห้อีกเปล่า อะไรแบบนี้ อยากจะบอกว่าขอบคุณมากจริงๆที่เป็นห่วง และเข้าใจกันนะ

หลังจากนั้นก็กินยามาเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองพักผ่อนไม่พออย่างไรไม่รู้ คือใต้ตาเริ่มคล้ำขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดเลยค่ะ นี่สินะอาการของคนติดยาของจริง แล้วก็เป็นเหมือนเดิมค่ะ คือคลื่นไส้ ปวดหัวแบบมึนๆตึงๆ คอก็แห้งๆ เหมือนจะไม่สบาย เราก็เลยกินยาพาราเข้าไป แล้วก็นอนพัก แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น

คือรู้สึกช่วงนั้นกลายเป็นสาวขี้ยาเลยค่ะ กินยา กินยา และกินยา ไม่ยาซึมเศร้า ก็ยาพาราเซตามอล และก็อย่างที่บอกค่ะช่วงพีคคือตอนก่อนจะนอน กับตอนตื่นใหม่ๆ ทรมานแบบสุดๆ ช่วงเกือบๆหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ทั้งเพลีย ทั้งง่วง แต่ไม่เคยสามารถนอนหลับได้ก่อนเที่ยงคืนเลยค่ะ บางวันเป็นหนักมากๆกว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่งตีสอง(แล้วมันต่างอะไรกับการไม่กินยาฟะเนี่ย) แล้วนอนดึกไม่พอ ดันเจือกตื่นแต่เช้ามืดขึ้นมาเองด้วยนะ หลับต่อก็ไม่ได้

แล้วมีอยู่คืนนึงค่ะ ตลกมาก เราหลับไปแล้วแหละ สักช่วงเที่ยงคืนได้ แต่ก็ต้องตื่น เพราะอากาศที่อยู่ๆก็ร้อนอบอ้าวมาก สักพักฝนก็ตักหนักมากค่ะ ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ คือเชื่อมั้ยคะ ปกติเป็นคนไม่กลัวฟ้าผ่า หรืออะไรแบบนี้นะคะ ถ้าเป็นตอนปกติคงนอนหลับสบายไปกับสายฝนแล้ว

แต่นี่ กลัวทั้งคืนเลยค่ะ กลัวฟ้าผ่า กลัวเครื่องใช้ไฟฟ้าจะลุกติดไฟพรึ่บๆ (ก็คิดไปได้เนาะ) กลัวจนไม่กล้านอนหลับ จนถึงตีสาม ตีสี่อ่ะค่ะ ฝนซาแล้ว ก็เลยเปิดทีวีดู นั่นแหละค่ะ ถึงจะหลับลง

เราทนทรมานกินยามาได้หลายวันเข้า ขึ้นสัปดาห์ใหม่ วันจันทร์ค่ะ เรานัดอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะเข้าไปถามเรื่องโครงร่างวิทยานิพนธ์ว่าต้องแก้ไขตรงไหน อะไรยังไง จะได้เตรียมส่งเรื่อง

เราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าอาจารย์จะเข้ามามหาลัยตอนไหน แต่ก็กะว่า ไปรอพบแต่เช้าดีกว่า แต่โชคชะตาเล่นตลกค่ะ คือวันจันทร์รถติดสัส นรกมากกกกก เราได้ขึ้นรถเมล์ตอนเจ็ดโมงกว่าๆ แต่กว่าไปถึงมหาลัย 11 โมงค่า คือในใจก็หงุดหงิดนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังทนนิ่งอยู่ได้ สงสัยเพราะฤทธิ์ยา 555
แต่ตอนอยู่บนรถเมื่อเห็นว่าสายแล้ว ก็เลยโทรไปถามอาจารย์ก่อนว่าหนูจะไปหาอาจารย์ตอนบ่ายๆจะสะดวกมั้ยคะ อาจารย์ก็โอเค เพราะแกพาภรรยาไปหาหมอพอดี เราก็โล่งละ นั่งรถเมล์ไปชิวๆ

เชื่อมั้ยปกติ รถติดขนาดนี้ ต้องนั่งรถเมล์นานขนาดนี้ ส่วนใหญ่เราจะต้องหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว แต่นี่ไม่เลย คือง่วงนะ เพลียนะ แต่ไม่หลับว่ะ เออ ก็งงตัวเองนะตอนนั้น อาการข้างเคียงของยาก็ยังมีอยู่ คือมึนหัว เหมือนสมองไม่โล่ง เหมือนมีอะไรมากด มาทับไว้อ่ะ

พอไปถึงมหาลัยก็วางโครงการไว้อย่างดี เดี๋ยวจะไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดคณะ แอร์เย็นๆ แต่โชคก็ไม่อำนวยค่ะ ห้องสมุดคณะปิด หะ? ปิดได้ไงยะ นี่เปิดเทอมภาคฤดูร้อนแล้วไง นี่เวลาทำการนะ ทำไมถึงปิด?

แต่ก็นั่นแหละจะทำไงได้ ครั้นจะไปกินข้าวก็ โห ช่วง 11 โมงก่อนเที่ยง นักศึกษาก็เต็มโรงอาหารไปหมด ลายตา ก็เลยตัดสินใจว่าเอาวะ เดี๋ยวรอสักบ่ายๆ ค่อยลงไปกินข้าว แต่ระหว่างนี้ก็ไปนั่งรอที่แถวๆหน้าห้องพักอาจารย์ไปพลางๆ

คือเหนื่อยและเพลีย และง่วง แต่ก็ไม่หลับ ทำยังไงก็ไม่หลับ มึนหัวเรียกจะได้ว่าขั้นสุด เรานั่งอยู่เฉยๆอย่างนั้น มีออกไปกินข้าวตอนบ่าย แล้วก็กลับขึ้นมาใหม่ กว่าจะได้พบอาจารย์ก็เกือบบ่ายสี่โมงเย็นอ่ะ คือเราไม่ได้โกรธอาจารย์นะ เข้าใจแกด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือไหนๆมาขนาดนี้แล้ว ต้องได้พบหน้าอ่ะ จะให้กลับก่อนพร้อมกับโครงร่าง เราก็ไม่รู้น่ะสิ ว่าอาจารย์แกจะว่ายังไง ต้องปรับตรงไหน

หลังจากได้พบอาจารย์ก็โอเค โล่ง อาจารย์ไม่ได้ปรับแก้อะไรเยอะ แต่เรายังส่งไม่ได้ เพราะเหลือต้องคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมอีกท่าน ซึ่งวันนี้ไม่เข้ามหาลัยจ้า ต้องรอเป็นวันรุ่งขึ้น

แล้วพอกลับมาถึงห้อง เราก็คิดนะว่ามันเป็นเพราะยารึเปล่าที่ทำให้นอนไม่หลับ แถมกดประสาทขนาดนี้ ประจวบกับเราเริ่มมีอาการไม่สบายขึ้นมาจริงๆแล้ว ก็เลยคิดว่า คนไม่สบายก็ต้องพักผ่อนเยอะๆสิ แต่นี่เราแทบจะไม่ได้นอนเลยนะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เลยตัดสินใจลองหยุดกินยาดูวันนึง จริงๆก็กลัวนะ เพราะก็พยายามหาข้อมูลดู เขาก็มีแต่บอกว่าคนไข้ไม่ควรหยุดกินยาเอง แถมเราก็ไปซื้อพวกยาดีคอลเจนมาด้วยนะ แต่ไม่กล้ากิน เพราะเห็นคำเตือนเค้าบอกว่าไม่ควรกินร่วมกับยาซึมเศร้า (แล้วถ้าไม่กินยาแก้หวัดพวกนี้ ฉันจะหายมั้ยล่ะเนี่ย)

สุดท้ายก็เลือกที่จะหยุดยาซึมเศร้า และก็ไม่กล้ากินยาดีคอลเจนด้วย เลยจัดพาราไปแทนหนึ่งเม็ด บอกตรงๆเลยนะ คืนนั้นที่หยุดยา คือรู้สึกเหมือนชีวิตผ่อนคลายขึ้นมาก คืนนั้นสามสี่ทุ่มก็หลับปุ๋ยไปแล้ว ยาวๆ ไม่มีสะดุ้งตื่นกลางดึกด้วย

วันรุ่งขึ้นตื่นมาสมองแจ่มใสมากจ้ะ ไม่มีอาการมึนๆหัวอีก จนคิดว่าสงสัยเป็นเพราะฤทธิ์ยานั่นแหละ ก็เลยคิดว่าจะหยุดกินไปเลย จริงๆก็กลัวนะ อยากไปปรึกษาหมอก่อน แต่เราก็คิดว่าแค่อาทิตย์เดียวเอง เดี๋ยวก็ได้เจอหมออยู่แล้ว ก็เลย เอาวะ เลยตามเลย หยุดยาไปก่อนแล้วกัน ค่อยไปบอกหมอทีหลัง คงไม่เป็นไรมั้ง

และเราก็ยังอาการโอเคนะ ไม่ได้ร้องไห้อีก ถึงจะมีเศร้าๆบ้าง แต่ก็พยายามคิดเรื่องอื่นแทน สรุป อาทิตย์นั้นก็วุ่นอยู่กับการไปมหาลัย ทำเรื่องวิทยานิพนธ์นี่แหละจ้า

สรุปเลยนะ ผลข้างเคียงของยาที่เราเจอจังๆเลยคือ คลื่นไส้ มึนหัว ราวกับสมองถูกบีบถูกกด นอนไม่พอ ง่วงทั้งวัน แต่ไม่หลับ คือยังใช้ชีวิตปกติประจำวันได้นะ ไปนู่นมานี่ได้ แต่ที่ทำไม่ได้คือ อ่านหนังสือ และ ซ้อมดนตรี

คือมันมึนถึงขนาดที่ว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอ่ะ อ่านไม่เข้าหัวเลย อ่านแป๊บๆ ต้องปิดหนังสือหยุดอ่าน พอเล่นดนตรีก็อ่านโน้ตไม่ได้ จนหงุดหงิด ทั้งๆทีปกติเล่นซ้ำหลายรอบเราหน่อยก็จำโน้ตได้ เล่นได้ แต่นี่คือทำไม่ได้เลย จนหงุดหงิดตัวเอง ปกติซ้อมสองสามชั่วโมง เรื่อยๆชิวๆ แต่นี่ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกหงุดหงิด อยู่ไม่สุขแล้วจ้า เหมือนพวกสมาธิสั้นเลยอ่ะ ทำได้แป๊บๆ ต้องหยุด เพราะมันฝืนไม่ไหวจริงๆ ตอนแรกนึกว่าปวดหัวเพราะเป็นไข้หวัด แต่พอหยุดกินยา เออเว้ย อาการพวกนี้มันหาย

ก็กลับมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง เศร้าบ้าง ปะปนกันไป 555

แต่ข้อดีของยาก็มีอยู่นะ คือแต่ให้เจอเรื่องราวเชี่ยๆ เลวๆชวนหงุดหงิด ชวนโมโหแค่ไหน แต่คือเราไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด อารมณ์เราช่วงนั้นสงบนิ่ง และราบเรียบมาก แบบว่ามัน flat ไปหมดเลย แต่ดีที่อยู่ในแดนบวกๆอยู่ ก็รู้สึกไม่เศร้านะ ไม่ร้องไห้ พอยิ้มออกบ้าง แต่ก็ยังไม่สุดอ่ะ มันมึนๆตึงๆ ก็นั่นแหละ สมกับฤทธิ์ยาแล้วแหละ ชื่อยาต้านความเศร้า เออ ก็ไม่เศร้าจริงๆนะ


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

กลับมาพบคุณหมออีกครั้ง

หมอนัดในอีกสองอาทิตย์ถัดมา ซึ่งอาการโดยรวมเราว่าเราดีขึ้นมากนะ

คุณพยาบาลที่ถามซักประวัติก็ถามว่าวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ เราบอกดีขึ้นแล้วค่ะ พยาบาลถามดีขึ้นนี่ ตีความได้กี่เปอร์เซ็นต์คะ เราบอก 80% ค่ะ
นี่เป็นไงล่ะ มั่นหน้ามาก แต่ก็รู้สึกว่ามันโอเคขึ้นมากๆๆเลยนะ

แต่ก็เหมือนเดิมแหละช่วงที่ต้องรอพบหมออยู่หน้าห้องตรวจนี่ทรมานและอึดอัดมาก คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราต้องกลายเป็นคนไข้แผนกจิตเวชจริงๆแล้วใช่มั้ย ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยอ่ะ เกือบจะหลุดร้องไห้ออกไปหลายรอบเหมือนกันเพราะเครียด แต่วันนั้นไม่รู้งนะ แค่มีซึมๆ รื้นๆ ตามขอบตา

เราก็เอาไปเล่าให้หมอฟังนะว่าแบบ ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย อยากเป็นปกติ ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องกินยา

หมอก็บอกว่าโรคนี้มันมีโอกาสเป็นแบบนั้นได้นะ แต่ช่วงนี้ก็อาจจะต้องกินยาไปก่อน(หมอยังไม่รู้ว่าเราแอบหยุดกินยาไปแล้ว อิอิ)

เราก็เลยสารภาพว่าหมอหนูไม่ได้กินยาแล้วนะ คือก่อนหน้านี้ก็กินแหละ สักอาทิตย์นึง แล้วพอดีว่าเป็นหวัด เลยรู้สึกว่าอยากพักผ่อน แล้วผลข้างเคียงยามันก็ทำให้หนูไม่ได้พักผ่อนเลย อ่านหนังสือก็ไม่ได้ สมองเหมือนโดนกด

หมอก็งงนะว่ากับอีแค่ยาครึ่งเม็ดนี่ฤทธิ์มันมากขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เปรียบเทียบว่า เราอ่ะปกติเป็นคนไม่กินกาแฟ แต่พอได้ลองกิน คือโดนกดประสาท มึนหัวไปทั้งวันเลย ทำอะไรไม่ได้เลย เนี่ยค่ะ อาการแบบเดียวกันเลย

หมอก็เข้าใจนะ ก็บอกว่าจริงๆแล้วเราเป็นนิดเดียว ไม่ต้องกินยาก็ได้ แต่ตอนนั้นดูเศร้ามากร้องไห้ตลอด เลยลองสั่งยาให้ไปกินดู เพื่อปรับอารมณ์ ตอนนี้ก็ดูโอเคขึ้นมากแล้ว วิธีการรักษาก็อาจจะใช้วิธีการพูดคุย ปรึกษากันแบบนี้ก็ได้ แล้วยาก็มีอีกหลายตัว จะลองเปลี่ยนเวลากิน หรือเปลี่ยนยาดูมั้ย ซึ่งเราก็ขอเลือกไม่กินยาดีกว่า 


สรุปคือ หมอก็โอเคตามนั้น เราไม่ต้องกินยาแล้วจ้า วันนั้นกลับห้องไปอย่างเบิกบานมาก เหมือนได้กลับมาเป็นคนปกติอีกครั้งนึงเลย


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

สองวันถัดมาเป็นวันนัดเข้าคลินิกคลายเครียด

วันนี้เริ่มทำตัวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคนในแผนกนี้ไปแล้วค่ะ 55 ไม่เครียด ไม่ร้องไห้ แต่ช่วงระหว่างที่รอเนี่ยแหละ ช่วงทรมาน เพราะมันต้องนั่งเฉยๆว่างๆไงคะ ความคิดอะไรก็แล่นเข้ามาในหัวเต็มไปหมด เกือบจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว แต่ก็กลั้นไว้ได้ แต่สุดท้ายตอนเข้าห้องไปคุยกับคุณหมอก็ไม่รอดค่ะ 555

คุณหมอถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง เราพยายามจะตอบว่าดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เหมือนก้อนน้ำตามันขึ้นมาจุกอยู่ตรงคออ่ะค่ะ คุณหมอก็เลยถามว่า ทำไมดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อกี๊เสียงมันเหมือนจะร้องไห้เลยล่ะ นั่นแหละค่ะ เราก็ร้องไห้ออกมาจนได้

คุณหมอบอกว่าร้องไห้ได้นะ ไม่เป็นไร สักแป๊บนึงสงบสติอารมณ์ได้ ก็พูดคุยกับคุณหมอ เราก็บ่นเรื่องนู่น นี่ นั่น แล้วก็เข้ามาอีหรอบเดิม เหนื่อยใจกับสังคมหรือสิ่งรอบตัว ทุกคนดูเห็นแก่ตัวจังเลย หนูเลยต้องเป็นฝ่ายยอมเสียสละอยู่ทุกวันนี้นี่ไง

คุณหมอก็เลยหยิบกระดาษมาใบนึง แล้วก็วาดจุดด้วยปากกาลงไปหนึ่งจุด แล้วก็ถามว่าเราเห็นอะไร 


แน่นอนเรื่องนี้เราเคยเรียนหรือผ่านตามาบ้างแล้วแหละ ว่าคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะตอบว่าเห็นจุด เพราะสีดำพื้นที่เล็กๆ ซึ่งมักเปรียบได้กับข้อเสีย หรือข้อด้อย มักถูกเพ่งเล็งได้ง่ายกว่า ถึงแม้จะมีสีขาวอยู่เยอะก็ตาม ตอนนั้นเราก็ตอบไปตามตรงว่าเห็นจุดนะ แบบไม่อยากแอ๊บแบ๊วโลกสวยตอบว่าเห็นสีขาว

คุณหมอก็บอกว่าตอนนี้เรามองแต่ข้อเสียไง ทั้งที่จริงๆก็ยังมีด้านดีๆด้านอื่นอีก ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานี่แหละ ไม่มีใครสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมดหรอก คุณหมอก็ถามว่าแล้วถ้าเห็นจุดแบบนี้จะทำยังไง จะลบมันได้มั้ย เราก็บอกว่า จริงๆสีขาวก็มีตั้งเยอะ แค่เปลี่ยนมามองแต่ด้านที่มีสีขาวก็น่าจะโอเคนะคะหมอ

แล้วหลังจากนั้นเราก็บ่นเรื่องรู้สึกตัวเองแปลกไปจากคนอื่น ก็เลยเล่าถึงเรื่องวันที่ต้องไปนั่งรออาจารย์ตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะได้เจอ คือระหว่างรอเนี่ย เราก็โอเคนะ อาจจะหงุดหงิดนิดหน่อย ว่าอาจารย์เมื่อไหร่จะมา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอึดอัดและทรมานคือสายตาของอาจารย์ท่านอื่นๆหรือคนอื่นๆที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงทางเดิน แล้วเห็นเรานั่งรออยู่คนเดียว นิ่งๆ ไม่ไปไหนสักที เป็นหลายชั่วโมง คือแบบไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย

คุณหมอก็เลยแนะนำทฤษฎีมาให้ คือ C B T 


C = cognitive ความคิด ความรู้สึก
B = behavior พฤติกรรม
T = Therapy

ซึ่งคุณหมอก็แบ่งกระดาษออกเป็น 3 ช่อง แล้วก็ให้ยกเหตุการณ์ระหว่างที่เรานั่งรออาจารย์นั้นแหละมาเขียนแยกตามทฤษฎีนี้

ทางด้าน C เราก็เขียนไปว่าหงุดหงิด กระวนกระวาย เมื่อไหร่จะมา เสียเวลา / เครียด ไม่สบายใจ อยากอยู่เฉยๆคนเดียว อย่าเดินมาบ่อยได้มั้ย ทำตัวไม่ถูก (ที่แยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนแรกความรู้สึกในขณะนั่งรอ ส่วนหลังคือเมื่อนั่งรอแล้วมีคนเดินผ่านไปผ่านมา) จริงๆมีมากกว่านี้อีกเยอะ แต่จำไม่ได้ละ 55

ส่วน B เราเขียนพฤติกรรมระหว่างนั่งรอไปว่า นั่งเฉยๆ เล่นมือถือ คอยมองหาอาจารย์ วนลูป

แล้วคุณหมอก็เอาไปดู ตามทฤษฎีเค้าบอกว่าความคิดกับพฤติกรรมเนี่ยมันส่งผลถึงกันนะ แล้วดูสิ พฤติกรรมของเรามีแค่ 3 อย่างเอง แต่ความคิด โอ้โห เยอะแยะไปหมด

คุณหมอก็แนะนำว่า ถ้าจะแก้ไข ก็อาจจะลองเปลี่ยนดูอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างเปลี่ยนความคิด กับพฤติกรรม เช่นถ้าระหว่างนั่งรออยู่แล้วมันเบื่อ มันหงุดหงิด อาจจะเปลี่ยนพฤติกรรมออกไปทำอย่างอื่นแทน หรือไม่ก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแทนเลย เช่น เย็นนี้จะดูหนังอะไรดี กินข้าวที่ไหน อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันน่าจะบำบัดอาการหรือความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจที่เกิดขึ้นได้ อยากให้ลองทำดู

แล้วคุณหมอก็ยังบอกอีกว่าตอนนี้ชีวิตเราเองมาทางฝั่งการเป็นผู้ให้ หรือ give คนอื่นมาก เหมือนตาชั่งที่เอียงไปข้างใดข้างนึงเลย มันไม่สมดุล ชีวิตที่มีความสุข ก็คือความพอดี การตามหาสมดุลให้เจอ ตั้งแต่คราวที่แล้ว คุณหมอก็จะพูดเสมอถึงเรื่อง give&take คือต้องรู้จักการเป็นผู้ให้และการเป็นผู้รับ

แล้วยังสอนอีกว่า การที่เราให้อย่างเดียว ก็เป็นการตัดโอกาสคนอื่นไม่ให้สามารถกลายเป็นฝ่าย Give ด้วยเหมือนกันนะ แล้วก็หัดรู้จักเป็นผู้รับบ้าง เพื่ออย่างน้อยก็เป็นการสอนเพื่อนหรือคนรอบข้างเราไปในตัวด้วย ว่ามันต้อง give&take นะ เพื่อนจะได้ไม่เสียนิสัย 555

แล้วคุณหมอก็จะย้ำอยู่เสมอว่าการที่เราทำอะไร ให้ถามก่อนเลย เราทำเพื่อใคร เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น ตอนนี้ทุกอย่างที่เราทำคือมันเพื่อคนอื่นไง เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นคนดี อยากได้รับการยอมรับ

คุณหมอก็เลยแนะนำว่า ทุกครั้งเวลาจะทำอะไร ถามตัวเองก่อนเลย คุ้มมั้ยกับสิ่งที่ทำอยู่ คือถ้าเพื่อความสุขของตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น อย่างไหนมันคุ้มค่า และสร้างความสุขให้กับเราได้มากกว่ากัน
เราก็เออ จริงด้วยนะ เราไม่เคยคิดถึงมุมมองนี้มาก่อนเลย ก็นั่นแหละ คุ้มมั้ยเล่ากับการเสียเวลามานั่งร้องไห้ฟูมฟาย โดยไม่บอกให้ใครรู้ ถ้าคิดว่าไม่คุ้มแล้วจะทำยังไงต่อไป (ก็หยุดร้องสิเจ้าคะ เวลาเหลือก็เอาไปทำอย่างอื่นที่มันจรรโลงใจ สรรค์สร้างความสุขให้กับตัวเองได้อีกเยอะ)

แล้วคุณหมอก็ถามว่าที่ว่าเราเห็นคุณค่าของตัวเองเนี่ย สรุปแล้วเราเห็นค่าของตัวเองจริงๆ หรือต้องผ่านจากมุมมองของคนอื่น เราก็บอกว่าก็เห็นคุณค่าของตัวเองนะ แต่ก็แบบ ชีวิตหนูมันธรรมดาอ่ะค่ะคุณหมอ ความสามารถก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร การเรียนถึงจะพอไปวัดไปวาได้ แต่ความคิดความอ่านก็สู้เพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกันไม่ได้เลย เรียกง่ายๆว่ารู้สึกไม่เจ๋งเท่าคนอื่นอ่ะ คือในใจลึกๆก็อยากเป็นคนที่มีอะไรที่เก่ง หรือพิเศษซักด้านนึง ให้คนอื่นเขาพูดถึงเราอย่างนั้นบ้าง ชื่นชมบ้าง

คุณหมอก็เลยลองให้เปลี่ยนมุมมองดู สมมุติให้เรามองไป เห็นเด็กผู้หญิงคนนึงที่เติบโตมากับยายเพียงสองคน ต้องมีชีวิตอยู่เพียงโดดเดี่ยวลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นลูกที่ดี เป็นหลานที่ดี เรียนจบปริญญาตรี กำลังจะต่อโทด้วย เหล้ายา ก็ไม่กิน ไม่เคยทำตัวเสื่อมเสีย เป็นคนดีของสังคม มองจากมุมนี้แล้ว คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรคะ

เราก็เลยตอบว่า เด็กคนนั้นแข็งแกร่งมากค่ะ แล้วก็น่าชื่นชมมากด้วย(ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือตัวเรานั่นแหละ) คุณหมอก็บอก นั่นไงคะ ชีวิตคนเราต่างก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะ อาจจะเริ่มต้นไม่พร้อมเท่าคนอื่น และกว่าจะมายืนอยู่ถึงจุดนี้ได้ ต้องแข็งแกร่ง ต้องต่อสู้กับอะไรมามากมาย เห็นมั้ยว่าเก่งขนาดนี้ แล้วแบบนี้จะไม่ชมตัวเองหน่อยเหรอ ชมตัวเองบ้างนะคะ คนเรามีคุณค่าเสมอ ไม่เห็นต้องคอยเปาไปเทียบกัยคนอื่นเลยจริงมั้ย

แล้วคุณหมอก็พูดถึงเรื่องนิยามความดี สำหรับเราคือยังไง
ตอนนั้นก็อื้ออึงนะ แบบเท่าที่เรียนมาความดีมันมีหลายแบบมาก เราก็นิยามไม่ถูกหรอก แต่ก็ตอบไปแบบโง่ๆว่า คือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อกัน ทำดีต่อกันค่ะ

คุณหมอก็เลยถามว่า สมมุติว่ามีคนนึงเนี่ย เขาไม่เคยทำดีกับใครเลยนะ แต่ในใจเขาไม่เคยคิดร้ายกันคนอื่นเลย อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนดีได้มั้ยคะ

เราก็นิ่งคิดไปแป๊บนึง แล้วก็ตอบว่า ถ้าเขาไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็น่าจะเรียกว่าดีได้นะคะ

คุณหมอก็เลยบอกว่าความดีมันก็มีหลายแบบ เราไม่จำเป็นต้องฝืนทำในสิ่งที่คนอื่นมองว่าดีก็ได้ เห็นมั้ยการไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ถือว่าเป็นความดีได้เหมือนกัน เราก็อืม จริงด้วยสินะ เราไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย

จบการพูดคุยครั้งนี้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้กินยา คุณหมอก็เลยขอนัดเจอกันถี่นิดนึง ก็อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ค่อยมาดูกันว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง 555

===========
คือหลังจากที่ได้คุยกับคุณหมอในคลินิกคลายเครียดก็ทำให้เราได้ข้อคิด วิธีรับมืออะไรหลายอย่างมากนะ

ทั้งเรื่องคุ้มมั้ยกับสิ่งที่ทำ มันสร้างความสุขให้เรารึเปล่า เราทำเพื่อใคร
ทั้งเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิด
การมองเห็นคุณค่าและยอมรับในตนเอง


เรื่อง Give&Take ที่ทั้งสองฝ่ายควรจะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องให้อย่างเดียว หรือคอยแต่จะรับอย่างเดียว
การหาสมดุลในชีวิตให้เจอ

อืม ก็บอกตรงๆนะว่าทำให้มองโลกใหม่ ด้วยสายตาที่เข้าใจมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังปรับไม่ได้ซะหมด 100% หรอกค่ะ บางครั้งเราตามความคิดไม่ทัน ก็มีคิดแง่ลบ จนเศร้า จนร้องไห้ ก็มีอยู่บ่อยๆ(ยิ่งตอนนั่งรถเมล์ตอนรถติดนานๆ ฟุ้งซ่านค่ะ เผลอร้องไห้ไปหลายทีมาก อารมณ์แปรปรวนมาก สงสารคนที่นั่งข้างๆจุง 555) 


แต่ก็คิดว่านี่ก็ดีขึ้นมากแล้วนะ แล้วก็จะพยายามปรับเปลี่ยนมุมมอง หรือพฤติกรรมเราไปเรื่อยๆ

เรายังคงเชื่อ และมีความหวังอยู่เสมอค่ะ ว่าเราจะต้องดีขึ้น จะต้องหายจากอาการเหล่านี้ จะต้องเป็นคนที่มีความสุขให้ได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่เราก็จะพยายามค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ ย้าว ยาว แต่เนื้อหาสาระไม่ค่อยจะมีซะเท่าไหร่ ใครมีอะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ


จริงๆอยากทำภาคเจาะลึกชีวิตของตัวเองนะ แต่กลัวจะยาวเกิน ไม่มีใครอยากอ่าน 


ก็เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ก็ยังต้องคอยไปหาหมออยู่ค่ะ และก็ยังคงมีอาการอยู่บ้าง แต่ไม่ได้แย่จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันแล้วนะ นอนดึก นิดหน่อย แต่นอนหลับเต็มอิ่มค่ะ กินข้าวได้ โดยรวมแฮปปี้อมยิ้ม01

เดี๋ยวกะว่าจะแชร์กระทู้นี้เข้าเฟซบุคตัวเองอยู่เหมือนกัน ยังแอบกลัวๆนะคะ ว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง จะรับได้มั้ย จะหาว่าเพ้อเจ้อหรือเปล่า แต่ก็อยากบอกให้คนอื่นๆรู้บ้างอ่ะเนาะ เผื่อใครที่เค้ามีอาการ หรือรู้สึกแบบเดียวกับเรา จะได้เห็นว่านี่ไง มีคนแบบเราเป็นเพื่อนอยู่นะ อยากให้ทุกๆคนมีความสุขนะคะอมยิ้ม04

สวัสดีค่ะ


บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร.... เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้
ที่มา :: โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 1332054 ,pantip.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์