::บันทึกน้ำตาหมื่นลิตร แชร์ประสบการณ์ เมื่อฉันต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
และขอเตือนอีกครั้ง เนื้อหาอาจเป็นเรื่องส่วนตัวที่อาจจะไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าซะทีเดียว แต่เราก็อยากเล่าค่ะ ถือซะว่า กำลังอ่านบันทึกของใครคนนึงเพลินๆละกันนะคะ ^^
ปล. เราขอไม่เอ่ยสถานที่ หรือสถาบันใดๆนะคะ บอกตรงๆ แค่อยากแชร์เรื่องราวค่ะ แต่ไม่อยากให้รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรที่ไหน ถ้าใครรู้หรือพอเดาๆออก ก็จุ๊ๆไว้นะคะ
แต่ถ้าอยากรู้หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา สามารถสอบถามมาหลังไมค์ได้ค่ะ
-----------------------
เริ่มเลยนะคะ ขอบอกประวัติตัวเองคร่าวๆก่อนว่า เป็นผู้หญิงธรรมดา ทั่วๆไปค่ะ อายุ 25 ปี การศึกษาก็เคยเรียนจบป.ตรีทางด้านสื่อสารมวลชน และตอนนี้กำลังต่อป.โท ในสาขาปรัชญาและศาสนา (ซึ่งตอนนี้กำลังง่วนกับทีสิสอยู่เลยค่ะ) ส่วนตัวเคยทำงานด้านตัดต่อวิดีโอกับบริษัทแห่งนึงมาได้ประมาณแปดเดือน สุดท้ายก็ลาออกมาเรียนต่อป.โท ปัจจุบันไม่ได้ทำงานค่ะ อาศัยเงินจากทางบ้านส่งให้ใช้
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ เกือบถูกรถชน ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากหรอกค่ะ คือตอนนั้นเดินเลียบถนนอยู่ถึงช่วงทางแยกที่จะมีรถเลี้ยวเข้าออกไรงี้ เราก็ว่าดูทางดีแล้วนะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผิดพลาดอะไรยังไง รถคันนั้นพุ่งมาเร็วมาก แบบผิดวิสัยของรถที่ปกติถ้าจะเลี้ยวก็ต้องชะลอความเร็วกันนิดนึงใช่มะคะ เราแบบเฮ้ย ตกใจแรงมาก แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นอะไรค่ะ แต่แค่รู้สึกเฟลมาก เลยไปบ่นลงเฟซบุคตามประสาคนติดโซเชียล
แล้วทีนี้ค่ะ ไม่มีใครสนใจเลย...
คือถ้าเป็นปกติอย่างน้อยก็น่าจะมีคนมีถามแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น ตรงไหนแก อะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะ หรือถ้าสนิทกันก็อาจจะโทรถาม แต่นี่คือแบบ...เงียบมาก
แต่ที่เราเจ็บปวดคือ หลังจากที่ตามเชคเรื่อยๆ บรรดาเพื่อนๆในเฟซทั้งหลายแหล่ ส่วนใหญ่ก็โพสต์รูปไปมีตติ้งบ้าง รูปไปเที่ยวนู่นนี่นั่นแบบแฮปปี้ดี๊ด๊าบ้าง หรือทำกิจกรรมสุดเก๋ สุดฮิป อะไรกันก็ว่าไป
คือตอนนั้นเราแบบเจ็บจี๊ด คือรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของทุกคนเลยค่ะ ไม่มีใครสนใจไม่พอ พอเขาไปเที่ยวกัน เขามีความสุขกัน ทำไมเขาไม่นึกถึงเราเลย เราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกัน เคยสนิทกันไม่ใช่เหรอ? นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจ ณ ตอนนั้นค่ะ
หลังจากที่คิดวนเวียนซ้ำๆอยู่ทั้งคืน คือร้องไห้ และนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ต่อด้วยการโพสต์สเตตัสที่เวิ่นเว้อที่สุดในสามโลกแบบยาวเหยียดตอนดึกๆ คือเครียดมาก ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ รู้นะคะว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากกกกกๆ ทำไมถึงเอาแต่เก็บมาคิดมากอยู่ได้ แต่ ณ จุดนั้น อาจจะสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล ความเหนื่อย ความเครียดที่สะสมมานาน คือร้องไห้ทั้งคืนจนนอนไม่หลับ แบบไม่หยุดเลย
จริงๆเราเคยมีอาการแบบนี้มาแล้วสองสามครั้งค่ะ แต่ก็ผ่านมาได้ ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่บ้างก็ตาม จนเราเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว อยู่ๆก็คิดอยากจะไปพบจิตแพทย์ค่ะ คือสรุปว่าคืนนั้นร้องไห้ไปด้วย นั่งเสิร์ชหาข้อมูลไปด้วยว่าควรจะไปโรงพยาบาลไหนอะไรยังไง เสร็จสรรพ ราวๆตีสี่ ตีห้าค่ะ คือร้องไห้จนเหนื่อย จนล้า ก็เลยหลับตานอนได้ในที่สุด
คือขอบอกก่อนว่าช่วงที่รู้สึกแย่และพีคมากๆนี้มันเกิดประมาณวันพฤหัสค่ะ พอวันศุกร์ดันตื่นสายอีก เลยทำได้แค่โทรไปสอบถามข้อมูล แต่ก็ไม่ได้นัดหมอหรืออะไรนะคะ เพราะทำไม่ทันแล้ว อีกอย่างต้องทำประวัติคนไข้ก่อนด้วย สรุปก็เลยกะว่าจะรออาทิตย์หน้า แล้วดันติดวันหยุดยาวอีก คือรอไปหลายวันมากค่ะกว่าจะได้ทำเรื่องพบหมอ
พอวันรุ่งขึ้นสายๆ เพื่อนที่เรียนป.โทด้วยกันที่เห็นสเตตัสเวิ่นเว้อนั้น ก็นัดเจอไปหาอะไรอร่อยๆกินกันตอนบ่ายๆ จะได้พบปะพูดคุย เผื่ออะไรจะได้ดีขึ้น
ก็ไปค่ะ
จริงๆเหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็อยากเจอใครสักคนค่ะ อยากพูด อยากระบาย
พอได้คุยกันก็ทำให้ได้รู้ว่าเพื่อนของเราคนนี้ก็เคยมีอาการซึมเศร้า ไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งนึงของรัฐ ไประบายให้หมอฟังกว่าหลายชั่วโมง แล้วหมอก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าให้ยาไปกิน เพื่อนบอกว่ายาที่ได้มาก็ดีนะ กินแล้วมีความสุขมาก แต่ก็รู้สึกหลอกตัวเอง เพราะที่มีความสุขเป็นเพราะยา ไม่ได้มาจากใจ จากความรู้สึกจริงๆ เพื่อนก็เลยหยุดกินยา หยุดพบหมอค่ะ เพราะคิดว่าหมอแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น จริงๆแล้วไม่ได้เข้าใจในตัวคนไข้เลย(อันนี้คือสิ่งที่เพื่อนเราพูด)
เพื่อนเราก็เลยเลือกที่จะปรับเปลี่ยนที่ทัศนคติ แล้วหันมาคุยกับตัวเอง ใส่ใจกับความคิดของตัวเองมากขึ้นแทนค่ะ ปัจจุบันก็ดูชีวิตเป็นปกติสุขดีนะคะ เท่าที่เราเห็น
คือตอนนั้นเราก็ปรึกษาแหละค่ะว่าอยากลองพบจิตแพทย์ดู คือมันไม่ไหวแล้ว เรารู้สึกตัวเองเป็นคนนอก เป็นส่วนเกินของกลุ่มเพื่อน ของสังคมตลอดเวลา สำหรับเรา คิดว่าไม่มีเพื่อนคนไหนที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเพื่อนสนิทเลยค่ะ เหมือนตัวคนเดียว แล้วยิ่งพอคิดย้ำไปย้ำมาแบบนี้เราก็ยิ่งร้องไห้ค่ะ สรุปวันนั้นเราร้องไห้กับเพื่อนกันทั้งคู่เลยค่ะ ฮา
หลังจากกลับมาก็ยังคงมีน้ำตาซึมๆอยู่บ้างค่ะ
วันรุ่งขึ้น
วันเสาร์ เราต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดค่ะ เพราะว่าต้องกลับไปเยี่ยมยายทุกอาทิตย์ ก่อนหน้านี้ยายเคยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบค่ะ มีอาการคล้ายคนเป็นอัมพาตครึ่งซีกเลย ดีที่รักษาทัน ปัจจุบันช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องมีคนคอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนค่ะ ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าโรคจะกลับมากำเริบอีกเมื่อไหร่ ปัจจุบันยายอยู่กับป้าตลอดค่ะ โดยมีลูกๆหลานๆแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างตามโอกาส แต่เราก็จะพยายามกลับไปทุกอาทิตย์ค่ะ
แล้ววันเสาร์ช่วงเย็นๆค่ะ เรากลับถึงบ้านแล้วแหละ เพื่อนอีกคนที่เรียนป.โทด้วยกัน(คนละคนกับคนแรก) ก็โทรมาหา ประมาณว่าเห็นสเตตัสเวิ่นเว้อนั้นด้วย แล้วก็เดาๆว่าคงเครียดๆเรื่องที่บ้านของตัวเองด้วยอะไรด้วย ก็เลยอยากคุยกันประมาณนั้น
เราก็คุยไปว่า เรารู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้นะ มันไม่โอเคเลยว่ะ หลังจากนั้นก็คุยเรื่องของเพื่อนคนนั้นไปบ้าง เราก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกค่ะ รู้แค่ว่าการได้พูดคุยกับเพื่อนคนนี้ทำให้ความคิดเราวนเวียนกลับมาที่ความรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ไม่มีใครยอมรับ ความรู้สึกฝืนพยายามทำตัวเป็นคนดี เพราะกลัวโดนคนอื่นเกลียด
สรุปคืนนั้นเราร้องไห้อีกแล้วค่ะ ขนาดนอนข้างๆยายเลยนะคะ แต่ก็พยายามนอนหันหลังให้ แล้วก็ไม่ได้สะอื้นค่ะ แค่น้ำตาไหลนอง จนนอนไม่หลับค่ะ ถึงราวๆตีสอง เครียดมาก จนหยิบมือถือมาเล่น มาทำนู่นทำนี่ ดูทีวี ก็ไม่หลับ เครียดก็เครียด น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือชีวิตมีปัญหามากค่ะ
วันเวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆค่ะ ทรมานมาก บอกตรงๆ ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่ทุกคืนกว่าจะข่มตานอนได้ยากมาก แถมเรายังต้องตื่นแต่เช้ามาอุ่นกับข้าว ทำอาหารให้ยายกินอีก คือเหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ ก็ไม่มีใครทำ ป้าตื่นสายมาก บางทีก็แปด เก้าโมงโน่น
ซึ่งตอนเราไม่อยู่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าเค้าอยู่กันยังไงนะคะ บอกตรงๆสงสารยายมากค่ะ ขนาดยาหลังอาหารทุกมื้อ ป้าเรายังให้ยายหยิบกินเองเลยค่ะ แต่จะแยกไว้ให้ว่ากองไหนมื้อเช้า มื้อเย็น แต่ถ้าเราอยู่บ้านหน้าที่พวกนี้เราจะทำเองค่ะ เพราะยายก็แก่มากแล้ว งกๆเงิ่นๆ ไม่รู้ว่าแกหยิบยาถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราเป็นหลานไงคะ บอกอะไรไปก็ไม่มีใครฟัง เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
จนผ่านมาถึงวันจันทร์ วันนี้เราต้องกลับมาที่กรุงเทพฯค่ะ จะได้เตรียมมาทำเรื่องอะไรให้เรียบร้อย จะได้นัดหมอซะที ตอนนั้นบอกกับตัวเองในใจค่ะ ว่าอีก
ไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าเราได้พบหมอ เราก็คงรู้แหละว่าเราเป็นอะไร มีอะไรผิดปกติกันแน่
วันอังคาร
เราไปที่โรงพยาบาลแต่เช้าเลยค่ะ แต่เนื่องจากที่พักเราอยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก แบบคนละทางเลย 555 กว่าจะไปถึงก็สิบโมงได้ แต่ก็ยังทันไปทำประวัติผู้ป่วยได้ค่ะ แป๊บเดียวเอง ได้บัตร ได้เลขทะเบียนผู้ป่วยใหม่เรียบร้อย แล้วก็กะว่าจะขึ้นไปนัดพบหมอที่แผนกจิตเวชซะเลย ใจก็คิดว่านัดหมอไว้ก่อน อาจจะได้พบหมอวันอื่นๆถัดไปก็ไม่เป็นไร
แต่คือพอขึ้นไปถึงแผนกจิตเวชปุ๊บ ตอนนั้นคือเรารู้สึกแบบเครียด และกดดันขึ้นมาดื้อๆเลยค่ะ รู้สึกว่าเราต้องกลายเป็นคนไข้ของแผนกนี้จรึงๆเหรอเนี่ย แล้วเราก็เดินเข้าไปในแผนกจิตเวชค่ะ