เครื่องยนตเรือเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ กำลัง 1,100 แรงม้า จำนวน 2 เครื่อง • เครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้า 540 แรงม้า (ใช้เดินใต้น้ำ) ความเร็ว ผิวน้ำ 15.70 นอต ใต้น้ำ 8.10 นอต รัศมีทำการ 4,770 ไมล์ทะเล (8,830 กิโลเมตร)กำลังพลประจำการ เป็นทหารประจำเรือ 33 นาย เป็นนายทหาร 5 นาย พันจ่า จ่า 28 นายระบบอาวุธ ประกอบด้วยปืน ตอร์ปิโดขนาด 45 ซม. แบบ เอ.เค. เรียงทางตั้งที่หัวเรือ 4 ท่อปืนใหญ่ขนาด 8 ซม. 1 กระบอก และปืนกลลูวิสต่อสู้อากาศยานขนาด 7.7 มม. 1 กระบอกสำหรับเกียรติคุณของเรือดำน้ำทั้งสี่ลำต่อประเทศไทยและราชนาวีไทยคือ พ.ศ.๒๔๘๓ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้อุบัติขึ้น กองทัพเรือ ได้ส่งเรือหลวงมัจฉานุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และเรือหลวงพลายชุมพล ไปทำการลาดตระเวนเป็นแนวหน้าบริเวณฐานทัพเรือเรียมของแหลมอินโดจีน เพื่อป้องกันกองทัพฝรั่งเศสที่จะลอบเข้ามาโจมตีประเทศไทย
เรือทั้งสี่ลำจะใช้เวลาอยู่ใต้น้ำ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ถึงวันละ ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งปฏิบัติการณ์ในครั้งนั้น ได้สร้างความยำเกรงให้แก่ฝรั่งเศสเป็นอย่างมากซึ่งบทบาทของเรือดำน้ำแห่งราชนาวีไทยนี้เป็นที่กล่าวขานถึงความกล้าหาญ เมื่อเทียบกับกำลังของมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส และนับว่ามีส่วนอย่างมากในการปกป้องประเทศจากการถูกรุกรานในเวลานั้น
แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามและไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตอาวุธยุทธโธปกรณ์ขายอีก กองทัพเรือจึงเริ่มขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่ของเรือดำน้ำ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ประจำเรือซึ่งได้ใช้งานมาถึง ๙ ปีแล้ว โรงงานแบตเตอรี่และสีที่ตั้งขึ้นก็ยังไม่สามารถผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้
ขณะที่ชาติพันธมิตรของเราก็ไม่มีนโยบายที่จะช่วยเหลือประเทศไทยในเรื่องเรือดำน้ำ กองทัพเรือจึงจำเป็นต้องปลดเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำออกจากประจำการ ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๔ การมีเรือดำน้ำในกองทัพเรือไทยจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันนั้น
การจะจัดซื้อเรือดำน้ำรอบใหม่ของไทยจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นอาจจะต้องประเมินจากปัจจัยรอบด้านอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นด้านความมั่นคงกับความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ
แต่คำกล่าวที่ว่า " เรือดำนำไม่มีประโยชน์กับราชอาณาจักรไทยเลย" อาจจะไม่จริงเสมอไป