เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน3) .....เธอเล่าว่า.....
"ที่โรงแรมแห่งนี้เคยมีเหตุยิงกันตาย เขาเล่ากันว่าแต่ก่อนชั้นล่างของโรงแรมมีผับใหญ่ แล้วเกิดเหตุคนที่มาเที่ยวทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นยิงกันตายเลยนะพี่" ผมนั่งฟังด้วยท่าทีที่เรียบเฉยโดยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในบ้านเรา แล้วเธอก็เล่าต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า...
"แล้วที่สำคัญมันไม่ได้ตายในผับ มันไล่ยิงกันจนมาตายหน้าห้องพักของโรงแรม ไอ้คนที่โดนไล่มันวิ่งหนีขึ้นมาถึงชั้น 3 !!!
สุดท้ายหนีไม่ทัน ถูกยิงตายตรงประตูทางหนีไฟ" ผมนั่งฟังนิ่งๆแล้วนึกภาพตาม
"แล้วคนที่ไปพักที่นั่น ก็มักจะเจอเรื่องแปลกๆ นะพี่ ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอเปิดประตูไปดูกลับไม่เจอใคร คนเค้าเล่าลือกันว่า น่าจะเป็นวิญญาณของคนที่ถูกยิงตายมาขอความช่วยเหลือเพราะอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้วก็ได้ อื๊ยยย นึกแล้วขนลุก เป็นหนูนะ ไม่พักที่นี่เด็ดขาด"
ตอนที่ผมฟังเรื่องนี้ บอกตามตรงผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่...
ด้วยความที่ตอนนี้ยังไม่ค่ำมากนัก และความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นมันมากกว่าความกลัว ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูทางหนีไฟที่ไม่ห่างจากประตูห้องพักมากนัก
แต่...มันเปิดไม่ออก เหมือนประตูถูกล็อคจากภายนอกอย่างแน่นหนา ทั้งดึงทั้งดัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ความงุนงงสงสัยเพิ่มมากขึ้น พร้อมกลับความกลัว หรือว่าเรื่องที่เขาเล่ากันมาจะเป็นเรื่องจริง ผมรีบละจากประตูทางหนีไฟแล้วรีบไขกุญแจเข้าห้องพักทันที ....
นี่ขนานยังไม่ทันข้ามคืนผมเจอเรื่องแปลกๆ ถึงสองเรื่อง จะเปลี่ยนห้องก็ไม่มีห้องว่าง จะย้ายโรงแรมก็เต็มหมด หลวงพ่อที่แกะจากไม้พญางิ้วดำที่คล้องคอ ถูกอาราธนาขึ้นมาพนมไว้ด้วยสองมือที่สั่นเพราะความกลัว พุทธัง อาราธนานัง ธรรมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ขอให้คืนนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ....ส๊าธุ
ในห้องไม่มีกลิ่นเหม็นอีกแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นกลิ่นที่ลอยมาจากภายนอก แล้วคงจะมีใครจัดการไปแล้ว หรือแขกที่เข้าพักคนอื่นก็ได้กลิ่นเหมือนกัน แล้วคงแจ้งให้ทางโรงแรมจัดการไปแล้วก็เป็นได้
ช่างมันเถอะ เดินทางมาก็เหนื่อยพออยู่แล้ว เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า คิดมากปวดหัวเปล่าๆ
ผมนอนดูรายการช่วงเย็นอยู่สักพัก หลังจากนั้นอาบน้ำ และนั่งทำงานทบทวนเนื้อหาที่ต้องใช้สอนพรุ่งนี้อีกนิดหน่อยก็เตรียมตัวเข้านอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเศษๆ ซึ่งความจริงแล้วผมก็ยังไม่ง่วงนัก จึงนอนดูทีวีไปเพลินๆ กะว่าง่วงเมื่อไรก็ปิดไปนอน ....ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านมาไม่มีสิ่งผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นอีกเลย อาจเป็นเพราะอำนาจพุทธคุณ หรืออาจจะไม่มีอะไรจริงๆก็ได้ จนผมจะลืมๆไปแล้วด้วยซ้ำ บอกแล้วว่าเป็นคนไม่กลัวอะไรมาก (แค่เกรงๆ)
ผมยังไม่ง่วง ระหว่างนอนดูทีวีอยู่นั้น โคมไฟที่ห้อยอยู่ตรงปลายเตียงใกล้กับหน้าทีวี ซึ่งแขวนด้วยลวดเส้นใหญ่ติดกับเพดานห้องห้อยยาวลงมาหนึ่งฟุตเห็นจะได้ เริ่มแกว่งช้าๆ ช้าๆ ช้าๆ จนผมสังเกตได้ เหมือนมีคนเอามือไปเขี่ยเล่นก็มิปาน...!!!!
‘เอาอีกแล้ว หลอกให้กูกลัวอีกแล้ว‘... ผมนึกในใจ แต่คราวนี้ไม่สำเร็จ ผมไม่กลัว
ผมลุกขึ้นเดินไปที่สวิสควบคุมเครื่องปรับอากาศในห้องที่ติดอยู่ที่ผนังหน้าห้องน้ำ แล้วปรับความแรงของพัดลมแอร์ลงมาเหลือต่ำสุด เสียงการทำงานของพัดลมแอร์เบาลงทันทีตามการสั่งงาน หากแต่โคมไฟเจ้าปัญหามันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...แกว่ง
ร้ายกว่านั้นมันเหมือนจะแกว่งแรงขึ้นเสียด้วยซ้ำไป....
ความกลัวเข้ามาเกาะกุมในใจอีกครั้ง ผมรู้สึกร้อนๆหนาวอยากไรพิกล
พลัน เรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังก่อนเดินทางก็เด่นชัดเข้ามาในความคิด มันเล่าให้ผมฟังว่า......