ทั้งที่ภายในบ้านมีผู้เช่าอาศัยอยู่ ไม่เคยว่างเว้น กระทั่งสองพี่น้องวัยเรียนคู่หนึ่งไปพบศพโดยบังเอิญ
"สมภพ กับ ธรสถิต เอี่ยมอุดม" สองพี่น้องวัย 18 และ 14 ปี ต้องทนสูดดมกลิ่นเน่าเหม็นจากซากศพอยู่นานนับเดือน หลังจากเช่าห้องพักเลขที่ 2 ชั้น 2 ของทาวน์เฮ้าส์เป็นที่พักระหว่างการศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองหลวง
ทั้งสองพยายามเสาะหาที่มาของกลิ่นก็ไม่ พบ กระทั่งเช้ามืดวันที่ 19 กันยายน 2534 กลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนจนนั่งไม่ติด สองพี่น้องจึงช่วยกันค้นหาอีกครั้ง กระทั่งมาสะดุดตรงหน้าประตูห้องเช่าเลขที่ 3 ถัดจากห้องเขาออกไปเพียงผนังกั้น โดยห้องนี้ถูกปิดตายมาตั้งแต่แรกที่เด็กหนุ่มเข้าพัก กลิ่นโชยออกมาตามรอยแตกกรอบประตู ทำให้รู้ได้ทันทีว่าต้นตอของกลิ่นมาจากห้องนี้อย่างแน่นอน
สองพี่น้องตัดสินใจงัดประตูเข้าไปกลิ่นเหม็นโชยมา ปะทะใบหน้าจน ต้องเบือนหนี เมื่อตรวจสอบหาที่มาก็พบว่ามาจากถังน้ำพลาสติกสีดำขนาดใหญ่มุมห้อง ทันทีที่ฝาถูกเปิดออก กระดูกมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ ก็ลอยพ้นน้ำสีเข้มส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ
เมื่อควบ คุมสติได้แล้ว สมภพและธรสถิตจึงวิ่งไปบอกผู้จัดการบริษัทเฟิร์สการ์ดซิสเต็มไฟเออร์ จำกัด แล้วประสานไปยัง ร.ต.อ.นนท์ นุ่มบุญนำ ร้อยเวร สน.บางยี่ขัน เดินทางมาตรวจสอบ พร้อมด้วย พล.ต.ต.บุญชอบ พุ่มวิจิตร ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี พ.ต.ท.เสนาะ อ่อนศรี และ พ.ต.ท.ประพนธ์ แกลโกศล
ถังน้ำขนาดใหญ่ถูกลำเลียงลงมาชั้นล่าง จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า ภายในมีชิ้นส่วนมนุษย์ถูกหั่นแบ่งเป็น 9 ท่อน ตั้งแต่ศีรษะไล่ลงไปจรดปลายเท้า เหลือเพียงเศษหนังแห้งกรังหุ้มกระดูก
ตำรวจตรวจค้นห้องเช่าเลขที่ 3 อย่างละเอียดพบจดหมายเขียนด้วยลายมือ มีข้อความลักษณะคล้ายหนังสือสัญญา ทำขึ้นระหว่างสามีและภรรยา จับใจความได้ว่า ภรรยาต้องเลิกพฤติกรรมเจ้าชู้ !?!
พ.ต.ท.ประพนธ์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.เสนาะ ได้รับมอบหมายให้ทำคดี จากการตรวจสอบพบว่าเดิมทาวน์เฮ้าส์เป็นบ้านของ พ.อ.สุทัศน์ วงศ์บุญมาก นายทหารวัยใกล้เกษียณ บก.สส. ซึ่งได้ย้ายออกไปนานแล้ว และแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ให้คนเช่า พนักงานสอบสวนจึงเชิญ พ.อ.สุทัศน์ มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าห้องหมายเลข 3 มี
"ปรีชา ฉัตรชัยสกุล" วัย 39 ปี พนักงานขายประกัน บริษัทประกันชีวิตชื่อดังแห่งหนึ่ง เช่าอาศัยอยู่กับครอบครัวมานานหลายปี
ปรีชาเช่า ห้องอยู่กับ "เทียมตา ปัญจบุรี" ภรรยาวัย 37 ปี และบุตรสาวอีก 2 คนมานานหลายปี ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยึดอาชีพขายโจ๊กกับต้มเลือดหมูอยู่ริมฟุตบาทตรงข้ามห้าง สรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า กระทั่งปลายปี 2531 ปรีชาได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เลิกขายโจ๊กหันไปยึดอาชีพนายหน้าขายประกันชีวิตแทน ส่วนเทียมตาไม่มีใครพบเห็นอีก
แม้ จะย้ายออกไปแล้ว แต่ปรีชาก็เช่าห้องไว้ โดยจะนำเงินค่าเช่าไปจ่ายให้เจ้าของบ้านเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน เจ้าของบ้านคิดว่าเช่าไว้เก็บสิ่งของ จึงไม่ได้สนใจตรวจสอบ
หลังจากทราบข้อมูลตำรวจสันนิษฐานว่า ศพที่พบอาจจะเป็นเทียมตา เนื่องจากการสอบปากคำเพื่อนบ้านใกล้เคียงทราบว่า ก่อนจะหายตัวไปสองสามีภรรยามีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง
แต่ข้อสันนิษฐานของตำรวจกลับตาลปัตร เมื่อจับกุมปรีชาได้ขณะนอนหลับพักผ่อนอยู่ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านพรานนก ตอนสายวันที่ 20 กันยายน 2534 เพียงวันเดียวหลังจากพบศพ ปรีชาสารภาพกับตำรวจโดยไม่สะทกสะท้านว่า เป็นคนฆ่าหั่นศพจริง แต่ไม่ใช่เทียมตาภรรยาของเขา เป็น "เสาวรส บุพนานนท์" พี่สาวแท้ๆ ของเขาเองวัย 42 ปี เมื่อวันที่ 3 ต่อเนื่องวันที่ 4 ธันวาคม 2531 หรือราว 3 ปีก่อนพบศพ
แล้วคำสารภาพก็พรั่งพรูออกจากปากของ ปรีชา
...คืนเกิดเหตุที่ห้องหมายเลข 3 มีเพียงปรีชาและลูกๆ อีก 2 คน ส่วนเทียมตาถูกไล่กลับไปอยู่ที่ จ.ลำพูน บ้านเกิดนานมาแล้ว หลังจากปรีชาจับได้ว่ามีพฤติกรรมนอกใจ เขาให้ลูกๆ นอนอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองหลอกพี่สาวมาดื่มเหล้าที่ระเบียงห้อง เมื่อเมาจนได้ที่จึงลงมือบีบคอจนแน่นิ่ง แล้วลากเข้าไปในห้องน้ำ จับกดน้ำจนแน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว จึงนำเสื้อกันฝนมาห่อศพยัดใส่ตู้เสื้อผ้าไว้
เช้าวัน ต่อมาปรีชาพาลูกไปส่งโรงเรียน โดยกำชับว่าหลังเลิกเรียนให้ไปนอนที่บ้านย่า หลังจากนั้นปรีชาได้ย้อนกลับมาที่ห้องเช่า เพื่อหั่นศพแยกชิ้นส่วน เขาลงมือผ่าท้องเลาะเอาอวัยวะภายในใส่ถุงพลาสติกไปทิ้งที่กองขยะย่านพรานนก ส่วนชิ้นส่วนอื่นๆ ใช้มีดอีโต้สับเป็น 9 ท่อน ทิ้งลงถังน้ำขนาดใหญ่ แล้วใช้น้ำยาดับกลิ่นเทราดบนชิ้นเนื้อ จากนั้นจึงเก็บข้าวของเครื่องใช้ย้ายออกจากห้องพัก
ส่วนสาเหตุการฆ่าหั่นศพครั้งนี้ เกิดจากปรีชาโกรธแค้นที่พี่สาวคิดจะฮุบกิจการโรงน้ำแข็งของครอบครัว อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก ปรีชาเคยให้การไว้ว่าเขารับไม่ได้ที่พี่สาวทำตัวเหลวแหลก ภายหลังพี่เขยตายไป แถมยังชวนเทียมตาไปเที่ยวเตร่ด้วย คืนเกิดเหตุเขาชวนพี่สาวมาที่บ้านเพื่อพูดคุยถึงเรื่องเหล่านี้ แต่กลับถูกด่าว่าอย่างหยาบคายจึงบีบคอและจับกดน้ำ แล้วลงมือหั่นศพทำลายหลักฐาน
หลัง ก่อเหตุสยองปรีชายังคงวนเวียนไป ตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องพัก ที่เขาใช้เป็นสุสานเก็บศพพี่สาวอยู่เป็นประจำตลอด 3 ปี โดยไม่มีใครเอะใจสงสัย กระทั่งศพร้องขอความเป็นธรรม กลิ่นลอยไปแตะจมูกสองเด็กหนุ่มที่เข้ามาเช่าห้องพักข้างเคียง
ปรีชาเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพในยุคแรกๆ ต่อมามีคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นตามมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่ครึกโครมที่สุด คือ คดีฆ่าหั่นศพ "พญ.ผัส พร บุญเกษมสันติ" โดยผู้ลงมือคือสามีแท้ๆ ของเธอเอง "นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ" นั่นเอง
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า ผู้ต้องหาที่มีพฤติกรรมการก่อเหตุรุนแรง ด้วยการฆ่าหั่นศพบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะสมาชิกภายในครอบครัวได้ ต้องได้รับการตรวจดูอาการอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะคนเหล่านี้อาจป่วยด้วยอาการทางจิต
ผู้ต้องหา ที่ก่อเหตุฆ่าชำแหละศพได้ โดยทั่วไปแล้วจะมีพฤติกรรมชอบความรุนแรง มีนิสัยหุนหันพลันแล่นและก้าวร้าว เป็นคนต่อต้านสังคม ไม่ไว้ใจบุคคลอื่น มีบุคลิกภาพแปรปรวน พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงก่อเหตุต่างๆ ได้โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ โดยพื้นฐานของปัญหาเกิดจากสภาพครอบครัว และการดูแลเลี้ยงดูในวัยเด็ก อาจมีปัญหาครอบครัวแตกแยก ขาดความอบอุ่น หากผู้ต้องหาคดีประเภทนี้ไม่ได้รับการบำบัดรักษา หรือผ่านการฝึกอบรมการควบคุมภาวะทางจิต เมื่อพ้นโทษออกมาอาจก่อคดีในลักษณะเดิมซ้ำได้อีก
"ก่อนการ ปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีประเภทนี้ ควรนำไปฝึกอบรมการควบคุมภาวะจิตใจ ต้องฝึกให้รู้จักคิดและยับยั้งชั่งใจให้ได้ รวมทั้งต้องละลายพฤติกรรมการต่อต้านสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ก่อเหตุซ้ำอีก"
รองอธิบดี กรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันน่าเป็นห่วงสังคมไทย เพราะคนในชาตินิยมความรุนแรงมากขึ้น สังเกตได้จากปรากฏการณ์ทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ แค่ความขัดแย้งทางความคิด ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นแตกต่างกัน ก็เกิดปัญหาการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง บางรายถึงกับฆ่ากันตาย ทั้งที่เรื่องความขัดแย้งที่เป็นชนวนเหตุของปัญหาไม่ได้มีที่มาจากปัญหาของ ตัวเอง