ในการถวายตัวแต่ละครั้งนั้นผู้เข้าถวายตัวจะต้องเตรียมธูปเทียนแพ เพื่อเชิญเข้าไปถวายแก่เจ้านายพระองค์นั้นๆ และจะต้องทำการตกลงกันระหว่างเจ้านายพระองค์นั้นกับผู้ปกครองหรือผู้นำเข้าไปถวาย ว่า เด็กคนนี้จะ "ถวายเฉย" หรือ "ถวายขาด" ซึ่งการถวายตัวทั้ง 2 แบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ การถวายเฉยจะคล้ายกับการเข้าไปอยู่โรงเรียนกินนอนประจำ เมื่อเรียนจบหลักสูตรก็สามารถทูลลากลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ประกอบอาชีพมีครอบครัวตามที่อยากจะเป็น หรือประสงค์ที่จะเป็นข้าทูลละอองพระบาทต่อไปก็ยังได้
แต่หากเป็นการถวายขาดก็หมายความว่าผู้ที่ถูกถวายตัวนั้นเมื่อได้รับการศึกษาเลี้ยงดูอย่างสตรีชั้นสูงแล้วก็จะเป็นข้าทูลละอองพระบาทอยู่ในวังหลวงต่อไป ผู้ปกครองจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆนอกจากความเป็นพ่อและแม่ ดังนั้นผู้ถูกถวายตัวจะเป็นคนของเจ้านายพระองค์นั้น ตำแหน่งหน้าที่ที่ทำ เช่น เป็นข้าหลวงคนสนิท หรือเลขา รวมไปถึงดูแลกิจการต่างๆ เป็นต้น แต่ถ้าบุญพาวาสนาส่งก็อาจถูกถวายขึ้นไปเป็นสนมเจ้าจอมได้ และถึงแม้ว่าเจ้านายพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ไป ก็ยังต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ หรือเป็นมรดกของหลวงต่อไป ทั้งอิสรภาพทางร่างกายและหัวใจ จะสิ้นสุดกรรมสิทธิ์ในตัวก็ต่อเมื่อโปรดเกล้าให้พ้นสภาพการเป็นคนของหลวง หรือกราบบังคมทูลลาออกจากการเป็นข้าหลวง และรอโปรดเกล้าต่อไป
เช่น จากเรื่องสี่แผ่นดิน ที่แม่แช่ม แม่ของพลอยได้นำพลอยเข้าถวายตัวเป็นข้าทูลพระบาทในเสด็จพระองค์หญิง เพื่อให้ได้รับการเลี้ยงดูและศึกษาอย่าสตรีชั้นสูง โดยการถวายตัวในครั้งนั้นเป็นการถวายขาด เมื่อพลอยโตเป็นสาวแล้วก็เป็นที่หมายปองของคุณเปรมผู้เป็นมหาดเล็กหลวง ดังนั้นคุณเปรมจึงให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอตัวแม่พลอยมาจากท่านพระยาพิพิธฯ ผู้เป็นพ่อของแม่พลอย ท่านพระยาพิพิธฯจึงกล่าวว่า "เห็นทีจะลำบาก เพราะแม่แช่ม แม่ของพลอยได้ถวายพลอยเป็นข้ารับใช้ในเสด็จพระองค์หญิงตั้งแต่ยังเล็ก ถวายขาดซะด้วย ฉันจึงถือว่าพลอยเป็นกรรมสิทธิ์ของเสด็จพระองค์หญิง การออกเหย่าออกเรือนเห็นทีจะเป็นพระธุระของเสด็จพระองค์หญิงท่าน"