เฟซบุ๊ค Somsak Pratomsrimek ได้มีการเขียนบรรยายข้อความเกี่ยวกับการวิเคราะห์งบของชาเขียวเจ้าดัง โดยมีข้อความว่า..
พี่น้องครับ วิเคราะห์งบอิชิตัน เพื่อตอบคำถามว่า ใครได้ใครเสียประโยชน์จากโปรโมชั่นเบนซ์ของอิชิตันครับ
ราคาขายอิชิตันที่เซเว่นอยู่ที่ขวดละ 11-16 บาท สมมติเฉลี่ยประมาณ 13 บาท โดย 7-11 คิดอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 21.7% ดังนั้นราคาขายส่งต่อขวดคือ 10.17 บาทครับ
อิชิตันมียอดขาย Q2 เป็นเงิน 2,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นผลโดยตรงจากโปรโมชั่นเบนซ์ที่จัดใน Q2 ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเอายอดขาย Q2 หารด้วยราคาขายส่งต่อขวดก็หมายความว่า Q2 อิชิตันขายชาเขียวคิดเป็นขวดได้เท่ากับ 207 ล้านขวด ซึ่งบริษัทมีกำลังการผลิตปีละ 600 ล้านขวด + 200 ล้านกล่อง การโปรโมชั่นแรงๆ ย่อมสร้างผลดีกับบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ใช้กำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อดูจากยอดขาย 207 ล้านขวดในไตรมาส 2 แปลว่าบริษัทน่าจะเข้าใกล้กำลังการผลิตสูงสุด ต้นทุนต่อหน่วยจึงต่ำลง (อัตราต้นทุน Q2 เหลือ 61% เทียบกับ 64% ใน Q1)
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับผู้บริโภค ที่หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่าบริษัทเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเบนซ์? ถ้าเอา "ยอดขายส่วนเพิ่ม" ของไตรมาส 2 ประมาณ 250 ล้านบาท หักกับต้นทุนขาย 117 ล้านบาท ก็ยังเหลือตั้ง 133 ล้านบาทที่สามารถเอาไปใช้จ่ายทางการตลาด โดยบริษัทนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายในการขาย 115 ล้านบาทซึ่งก็น่าจะเป็นค่าเบนซ์ จึงพอสรุปได้ว่าบริษัทเอาเงินยอดขายชาเขียวที่เพิ่มขึ้นมาซื้อเบนซ์จับฉลาก... ไม่ได้ชักเนื้อตัวเองครับ... แต่ได้ผลประโยชน์ที่สามารถรักษายอดขาย และรักษากำไรจำนวน 316 ล้านบาทไว้ไม่ให้ลดลงครับ
อย่างไรก็ตามถ้ามองในมุมผู้ถือหุ้น เมื่อเห็นการโปรฯ แรงๆ ไม่ได้สร้างผลกำไรให้มากขึ้นจะมีประเด็นให้เราคิดต่อไปไหม? ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า ธุรกิจของบริษัทยั่งยืนหรือไม่ ถ้าไม่มีโปรฯ แรงๆ แล้วยอดขายของบริษัทจะเป็นอย่างไร? ตรงนี้รออีกสักนิดนะครับ ให้ดูที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่จัดโปรฯ ไม่ค่อยโดนใจชาวบ้านเท่าไร (แค่ 30 ล้านบาท) แล้วลองดูว่ายอดขายจะเปลี่ยนไปแบบไหน แต่ถ้าให้เดาก็คิดว่ายอดขายน่าจะหล่นฮวบ ซึ่งผมว่าน่าจะเอาเงินไปซื้อหุ้น "CPALL" (7-11) ดีกว่า ซึ่งในงบอิชิตันเปิดเผยข้อมูลว่า "ลูกค้ารายใหญ่สุด" ซื้อของจากอิชิตันใน Q2/2558 จำนวน 1,762 ล้านบาท เข้าใจว่าน่าจะเป็น 7-11 และถ้าลูกค้ารายนั้นคือ 7-11 จริงก็แปลว่า 7-11 ได้กำไรจากอิชิตันแบบไม่ต้องออกแรงตั้ง 370 ล้านบาท ... แถมไม่ต้องโดนด่าเจ็บๆ ด้วยครับ
แล้วถ้ามองในมุมคนกินชาเขียว ถ้าเราจ่ายซื้อ 1 ขวด 13 บาท แล้วใครจะได้อะไรไปเท่าไร? คำตอบก็คือ 7-11 ได้กำไร 3 บาท คนกินได้กินน้ำหวานต้นทุน 5 บาท เป็นค่าการตลาด (สมทบทุนซื้อเบนซ์ ค่าโฆษณา ค่า SMS ฯลฯ) 4 บาท .... อิชิตันเหมือนจะใจดีนะครับ แต่ก็เอาเงินของคนกินชาเขียวไปซื้อรถมาจับฉลากให้คนกินชาเขียวครับ.... คนที่ได้เนื้อๆ ก็คงเป็นร้านค้าปลีก กับ อิชิตันที่ได้กำไรไปเต็มๆ ส่วนคนกินก็ได้กินน้ำตาล ผสมกลิ่น ผสมเบาหวาน ที่มีต้นทุนผันแปรขวดละ 5 บาทครับ โดยจ่ายเงินไป 13 บาทครับ
คำถามสุดท้ายครับ ถ้าหวังเสี่ยงโชคแล้วคุ้มหรือไม่? อัตราการเสี่ยงโชคอยู่ที่เท่าไร? คำตอบก็คือ ยอดขายของไตรมาส 2,106 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนขวดที่ขายได้ 207 ล้านขวด โดยมีจำนวนรางวัล 50 รางวัล ดังนั้น อัตราการถูกรางวัลคือ 1 รางวัล : 4.14 ล้านขวดครับ!!!!... ซึ่งถ้าพี่น้องซื้อทุกวันๆ ละ 10 ขวดไปจนตายโอกาสถูกรางวัลก็ยังไม่ถึงร้อยละ 1 ครับ ถ้าหวังเสี่ยงโชคขอเรียนว่าเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า ซื้อหวยรัฐก็ได้ ตอนนี้ลดมาเหลือใบละ 80 บาทเท่านั้น (แต่ถ้าให้ดีเอาไปลงทุนทางอื่นดีกว่า การพนันไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ใครเลยนอกจากเจ้ามือครับ)
สรุปนะครับ การวิเคราะห์ข้างต้นจะบอกกับพี่น้องว่า การที่เราจ่ายเงินไป 13 บาทเราจะได้อะไร ถ้ากระหายน้ำ นานๆ กินทีก็ OK นะครับ แต่ถ้ากินเพื่อหวังเสี่ยงโชคก็น่าจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีพอ และถ้าไม่ระวังก็อาจได้โรคภัยไข้เจ็บมาเป็นของแถมด้วยครับผม
.........................
ปล. นี่เป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลที่เผยแพร่สาธารณะล้วนๆครับผมไม่มีโอกาสรู้ตัวเลขภายใน ผลวิเคราะห์อาจคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงได้ หากอ่านแล้วรู้สึกขัดแย้งก็ต้องขออภัยนะครับ