ฉันออกมาหาที่อยู่ใหม่ได้ลงตัว (ไม่บอกพิกัด เพราะไม่ต้องการให้เขาหรือใครรู้ นอกจากพี่สาว น้องสาวก็พอ) เดินทางง่าย แต่อยู่เขตนอกเมืองเช่นเดิม แต่เงินเดือนเท่าเดิมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เดือนแรกๆฉันจึง "กินเงินเก็บ" คือ ยังคงส่งลูกเดือนละ 5,000 เช่นเดิมกับรายจ่ายอื่นๆของฉันเองที่มากเกินเงินเดือน นึกถึงตัวเลขรายจ่ายตอนนั้นแล้ว ไม่ได้ท้อใจเลย แต่บอกตัวเองเสมอว่าต้องดีขึ้นสิน่า
ตอนนั้นเงินเดือน 15,000 บ. ได้เงินมาปุ๊บจะถูกหักจ่ายออกทันที คือ
มีค่าหอ 2500 ค่าประกันชีวิต 2600 ค่าส่งลูก 5000 ค่ากองทุนและประกันสังคม 1200 กินอีก 2000 บ.ประหยัดๆเอา (กินให้เขียมๆ แต่ไม่นิยมมาม่าเพราะผมร่วง นิยมไข่มากกว่า) ค่ามือถืออินเตอร์เน็ตและของใช้ส่วนตัวอีก 2000 ค่าเดินทาง 800 รวมค่าใช้จ่ายไว้ก่อน 16,100 บ. โดยไม่นับรวมค่าจิปาถะอะไรอื่น เช่น อยากกลับบ้านหาลูก ต้องไปหาป้าที่ป่วยหนัก ... คือ ใช้เงินเก่าที่เคยเก็บด้วย
ไม่ได้การละ ต้องหารายได้เพิ่ม ฉันเดินผ่านโบ๊เบ๊ทุกวัน จึงคิดขายของทางเน็ต (ตั้งปณิธานว่าจะไม่ทำอะไร ขายอะไรที่เบียดเบียนสุขภาพ ร่างกาย จิตใจผู้อื่น หรือหากินกับปมด้อยของผู้อื่น)
พอเริ่มตอนนั้นก็ได้กำไรนะ (คือหักทุนแล้ว แต่ยังไม่นับที่สต๊อกไว้) กำไรต่อเดือน เดือนละ 150-900 บ.
ตัวเลขไม่ผิดค่ะ ได้กำไรเดือนละไม่ถึง หนึ่งพันบาท
ไม่เป็นไร ได้เพิ่มมาอีก 1,000 ก็ดีแล้ว ก็เริ่มหาทำงานอื่นอีก
คิดจะไปรับจ้างทำสวน ก็กลัวสวนเขาเสีย คิดจะล้างจานก็จะไปแย่งงานเขา คิดไปมากมาย คิดสะระตะ อยากได้เงินเพิ่ม...
ตอนนั้น โชคดีที่ทำงานมีโครงการเล็กๆ ได้ออกไปต่างจังหวัด และมีเบี้ยเลี้ยงครั้งละ 1,000-2,000 บ. เดือนนึงมี 1-2 ครั้ง รู้สึกหายใจได้โล่งท้องมากขึ้น และก็รับงานถอดเทป รับพิมพ์งาน ก็ได้มากอีกนิดหน่อย ...แต่ที่แน่ๆ ได้ความรู้และพัฒนาศักยภาพด้านการเขียน การฟัง การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ของเรามากขึ้นอย่างไวจากทั้งงานที่ฉันรับทำ และจากเจ้านายที่เป็นวิทยากรที่เขาเอ็นดูฉัน ฝึกฉันให้ลองเขียนรายงาน เขียนงานต่างๆ และให้ไปช่วยสรุปบทเรียน ถอดเวทีประชุมเป็นบางครั้ง ทำงานจนถึงตี 3 ทุกวัน...งานที่เจ้านายส่งมาให้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่ารายได้มันอาจจะเล็กๆน้อยๆ แต่บ่อย และสะสมเข้าบัญชีโดยไม่รู้ตัว
โดยหลักการใช้เงินของฉันคือ สะสมทีละน้อย ไม่ดูถูกเงินน้อย และแต่งกลอนเตือนใจ ให้ตัวเองทำตาม
"รู้คุณค่า บาทสองบาทก็ต้องเก็บ
เมื่อยามเจ็บ บาทสองบาทก็ต้องใช้
อีกส่วนหนึ่ง ให้แทนคุณพ่อแม่ไป
เอาไว้ใช้ ดูแลท่าน ยามชรา"
และวันหนึ่ง พี่ที่ทำงานด้วยกัน เขาก็ลาออก เหลือฉันดูแลออฟฟิศคนเดียว (เป็นออฟฟิศเล็กๆ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร ไม่มีเงินบริจาค ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี และได้เงินจากการบริหารโครงการและเอาเงินส่วนหนึ่งเข้าองค์กร) พอฉันต้องทำงานคนเดียว ทั้งการเงิน งานเขียน งานประสานงานโครงการ ดูแลตารางงานเจ้านาย และทำทุกอย่างเพื่อความเรียบร้อยของออฟฟิศ พอมีประชุมกรรมการประจำปีนั้น เจ้านายเชิญฉันออกจากที่ประชุม (มานั่งจ๋องนอกห้องประชุม เพราะไม่รู้ว่าเขาแอบคุยอะไรกัน) แล้วเจ้านายก็ประกาศว่า ที่ประชุมเห็นชอบและมีมติขึ้นเงินเดือนให้ฉันเป็น 20,000บ. ไม่นับรวมค่ากองทุน ประกันสังคม และเบี้ยเลี้ยงงานนอกอื่น โดยเจ้านายแอบทราบมาว่าฉันเป็นซิงเกิ้ลมัมที่ทำงานได้ดี สุจริต และขยัน น้ำตาลไหลเลยค่ะที่ทุกคนเมตตา...นั่นคือเงินเดือนประจำที่ได้เพิ่มขึ้น แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วและจะทำงานถวายหัวเลยล่ะ (เจ้านายของฉัน เป็นกรรมการคนหนึ่ง ที่ดูและและก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้น และดูแลองค์กรนี้อย่างใกล้ชิด จึงเป็นเจ้านายที่ฉันทำงานอย่างใกล้ชิด)
และรายได้ทางอื่นก็เข้ามาเป็นครั้งๆไป (จากเบี้ยเลี้ยง พิมพ์งาน ถอดเทป สรุปงาน ฯ)
และการขายของทางเน็ตก็ดีขึ้น ได้กำไรมากกว่า 1,000บ.แล้ว
โดยที่ค่าใช้จ่ายฉันก็คงที่ มีรายจ่ายขึ้นมานิดหน่อยตรงที่ พาพ่อแม่ พี่ชาย ยาย และลูก ไปเที่ยวพักผ่อนไกลๆ (หาร2กับพี่ชาย) ไปแม่สาย ไปภูเก็ต ชลบุรี เอาเงินไปต่อเติมบ้าน ซื้อของให้พ่อกับแม่ และของเล่นลูกซึ่งตามรีเควสของลูกชาย (เขาขออย่างหนึ่ง ฉันก็ให้อีกอย่างที่ดูเท่ากันแต่ราคาต่ำกว่า) เหล่านี้เพื่อให้รางวัลความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองและครอบครัว
ฉันทำรายรับรายจ่ายของตัวเองมาตลอด เพื่อ...
-จะได้คุมค่าใช้จ่ายตัวเอง มันไปโผล่อันไหนมากไป คราวหน้าจะได้ยั้งมือ
-สรุปรายรับ รายจ่ายทุกสิ้นเดือน ดังนั้น จะเห็นเงินเก็บเสมอ ตัวเลขที่เป็นเงินเก็บนี้เป็นกำลังใจให้ฉันทำงานต่อได้อย่างดี
-เพื่อแสดงความสุจริตใจต่อตัวเอง และงานที่ฉันทำ เพราะฉันรับผิดชอบทำการเงิน (โดยมีฝ่ายบัญชีควบคุมดูแลอีกที) ให้แก่โครงการและออฟฟิศด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่า วันหนึ่งที่เรามีเงินโผล่มาเยอะ (วาดฝันไว้ก่อน 555+) ใครๆเขาจะคิดว่าฉันเอาเงินมาจากไหน ...ตรงนี้ฉันมาหลักฐานที่มาของรายได้ เงินเก็บ ฮ่าๆๆ ทำยังกะนักการเมืองแสดงทรัพย์ แต่เพื่อป้องกันตัวเองในวันข้างหน้า ฉันต้องทำไว้ก่อน และคอยแสดงทรัพย์สินนี้ให้พี่ชายดูเป็นระยะ จะได้มีพยาน
พี่ชายเห็น เขาก็ดีใจด้วย แต่เขาก็เห็นเราประหยัดมาก จึงพยายามชวนกินนั่นนี่บ่อยๆ เราก็ไม่ค่อยกินไม่ค่อยเที่ยว แต่กลับบ้านทีไร หรือพาพ่อแม่มาเที่ยวทีไร สามารถจ่ายให้ได้ไม่อั้น (แต่พ่อแม่ก็ดีมาก ที่ไม่ผลาญลูกๆ เที่ยวกินแต่พอดี)
อันนี้เป็นสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายของตัวเองทุกบาท ย้ำว่าทุกบาท (สมุดนี้ทำมาตั้งแต่เริ่มทำงานเมื่อ 8 ปีที่แล้ว)

Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว