คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


ในโอกาสครบ 115 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในวันที่ 21 ตุลาคม 2558 นี้ ขอนำเสนอบทความที่กล่าวถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวบางส่วนเท่านั้นของพระกรุณาอันมากมายที่ได้พระราชทานให้ปวงชาวไทยตลอดมา
................................

โดย เสกสรร สิทธาคม

หัวใจสำคัญของการเปิดชั้นเรียนของโรงเรียนกัลยาณิวัฒนา 1 อำเภอนครไทย ที่เคยเปิดสอนเพียงชั้นประถมฯ สามารถขยายไปจนถึงมัธยมต้นและมัธยมปลายได้ แม้ว่าจะต้องพบเจออุปสรรคขวากหนามความไม่พร้อมอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นครูไม่พร้อม ห้องเรียนพร่องไปบ้าง

แต่อุปสรรคดังกล่าวหมดไป เพราะได้รับพระราชทานการเรียนการสอนจากโรงเรียนวังไกลกังวลผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพียงมีครูประจำห้องคอยดูแลนักเรียน คอยเสริม คอยแนะ ดูแลความพร้อมของระบบเพื่อให้นักเรียนแต่ละห้องได้เรียนกับครูที่กำลังสอนนักเรียนวังไกลกังวลแล้วถ่ายทอดสดไปสู่นักเรียนปลายทาง ที่จะได้เรียนกับครูคนเดียวกัน เวลาเดียวกันและวิชาเดียวกัน

ห้องเรียนอาจจะขาดแคลนบ้าง ไม่พอบ้าง ก็น่าจะไม่ใช่อุปสรรคหลัก คุณครูสามารถจัดการแก้ปัญหาได้เพียงเพื่อประโยชน์หลักตกอยู่กับนักเรียน ผู้ปกครอง ไม่ต้องไปเรียนไกลบ้าน ทำให้มีค่าใช้จ่ายและอาจเกิดอันตรายได้ การเรียนใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือจะมีบ้างก็น้อยที่สุด


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


เพราะส่วนหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานช่วยเหลือ แม้แต่จบม.6 แล้วได้คะแนนเฉลี่ยเกิน 3.5 ก็ยังได้รับพระราชทานทุนเรียนต่อระดับอุดมศึกษาอีกด้วย ทุ่นค่าใช้จ่ายพ่อแม่ผู้ปกครองไปได้มากทีเดียว อีกส่วนหนึ่งกระทรวงศึกษาธิการจัดแจงให้

"นักเรียนทุกคนมาถึงก่อนคณะสองมูลนิธิ พ่อแม่ผู้ปกครองก็มาด้วย ส่วนราชการในพื้นที่หลายหน่วยงานก็มาด้วย ก็เชื่อว่าคงอยากจะรู้ว่าสมเด็จย่าทรงเปิดโรงเรียนนี้ แล้วพระราชทานชื่อ กัลยาณิวัฒนา 1 ให้ด้วย

ตอนสมเด็จย่าเสด็จฯ มาทรงเปิดโรงเรียนทรงปลูกต้นมะพร้าว 2 ต้น ทุกคนก็รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าต่อมาถูกฟ้าผ่า ตายมั้ย (เด็กตอบพร้อมกัน ‘ไม่ตาย')" ท่านขวัญแก้ว วัชโรทัย กล่าว

ท่านขวัญแก้ว ย้ำว่า ฟ้าผ่าต้นมะพร้าวไม่ตายน่าอัศจรรย์ แล้วถามนักเรียนว่าอยากได้ยินมั้ยว่าสมเด็จย่าสอนอะไรที่สำคัญบ้าง จะนำบางคำสอนมาเล่าให้นักเรียนฟัง ผู้ปกครองฟังด้วย ท่านผู้ว่าฯ ผู้อำนวยการฟังด้วย ผู้มีเกียรติที่นี่ก็ฟังด้วย ฟังไปพร้อมๆ กัน

"สมเด็จย่าทรงให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจคน ทรงสอนว่าจิตใจเป็นมูลฐานความประพฤติทุกทาง ทั้งความเจริญ ความเสื่อม ความสุข ความทุกข์ต่างๆ นักเรียนว่าใช่มั้ย ถ้าเราได้รับการอบรมจิตใจอยู่ ถ้าชักนำให้เกิดความสนใจในการอบรมจิตใจจนถึงปลูกฝังเป็นนิสัยในทางที่ถูก ก็ประพฤติตนเหมาะสมในหน้าที่ ก็จะมีความเจริญในการเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิตสามารถจะเจอเหตุการณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้น จิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำยังไงต้องบริหารจิตใจให้ดีงามให้ถูกให้ต้อง"


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


ท่านขวัญแก้วพูดต่อว่า สมเด็จย่าทรงสอนไว้ว่าคนเราเกิดมาแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเมื่อเกิดมาก็เท่าเทียมกันหมด จริงมั้ย ไม่ว่าหญิงหรือชาย เกิดมาตัวเปล่า เอ้า...นักเรียนจดไว้(บอกนักเรียน)

ระยะที่สอง เริ่มเข้าสู่ขั้นสมมติ ตั้งแต่ชื่อ เรียนจบทำงานได้ตำแหน่งสมมติทั้งนั้น เช่นผู้ว่าฯ ผู้อำนวยการสมมติหมด ตำแหน่งสมมติทั้งนั้น อย่างตัวนายกที่กำลังพูดนี่ก็สมมติ เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง อยู่ในตำแหน่ง ฐานะ อำนาจที่ถูกสมมติขึ้น

ระยะที่สาม น่าจะเป็นระยะที่ต้องระลึกถึงความเป็นจริงของชีวิตว่ามาตัวเปล่า ถูกกำหนดวิถีโดยสิ่งสมมติก็จะต้องไม่หลงใหลในสิ่งสมมตินั้น เช่น หลงใหลในความเป็นผู้ว่าฯ ในความเป็นผอ.หรือในความเป็นนายกฯ ตอนนี้กำลังสวมบทบาทสมมติคือเป็นผู้อำนวยการ ทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ได้อยู่อย่างเดียวคือเปิดสอนระดับชั้นมัธยมปลายม.4-ม.6 (หันไปมองผู้อำนวยการ)

"ก็ต้องให้ไปหาท่านผู้ว่าฯ ก็ต้องให้อ้างว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ทรงตั้งขึ้น กระทรวงศึกษาธิการก็เคยยกย่อง ก็ต้องเอาคำยกย่องนั้นพร้อมด้วยราษฎรไปหาเขตพื้นที่การศึกษา ไปหาผู้บริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานในกระทรวง


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


แล้วต้องเน้นย้ำว่า เด็กนักเรียนที่จบ ม.6 จากที่นี่ด้วยคะแนนเฉลี่ยเกิน 3.5 ก็จะได้รับพระราชทานทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งเสียลูกหลานแล้วก็ยังนับเป็นเกียรติประวัติของครอบครัวว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณตั้งแต่ต้นจนจบ

นักเรียนทุกคนอยากได้มั้ย ถามผู้ปกครองด้วยว่าอยากได้มั้ย (นักเรียนตอบเสียงดังพร้อมกันว่า ‘อยากได้' ส่วนผู้ปกครองอาจได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง)"

ผู้ว่าฯ ปรีชา เรืองจันทร์ (เป็นผู้ว่าฯ จ.พิษณุโลก พ.ศ.2552-2555) นั่งอมยิ้มเมื่อท่านขวัญแก้วกล่าวพาดพิงมาถึง รวมถึงการได้รับรู้ข้อมูลอันเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานต่อเด็กนักเรียน


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


ท่านนายกมูลนิธิ รปค.(ราชประชานุเคราะห์) กล่าวกับเรียนและทุกคนในที่ประชุมต่อไปอีกว่า ถึงตรงนี้ก็ต้องให้ระลึกถึงความเป็นจริงว่าต้องไม่หลงใหลในสิ่งสมมติทั้งลาภ ทั้งยศ มุ่งช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ หรือเรียกง่ายๆว่ามีเมตตา กรุณา ถูกต้องมั้ย ดีมั้ยที่นำคำสอนสมเด็จย่ามาพูดนี่

"ไหนเรียกหัวหน้านักเรียนออกมายืนข้างหน้า(หัวหน้านักเรียนเป็นหญิง) ที่พูดมานี่พอใจมั้ย"

"พอใจค่ะ"

"แล้วรู้มัยว่าเป็นหัวหน้าที่ดีต้องมีคุณสมบัติยังไง"

"ต้องมีความขยัน อดทน เป็นผู้นำที่ดี"

ท่านขวัญแก้วมองไปที่นักเรียนแล้วบอกให้ทุกคนจดว่า ต้องมีความขยัน อดทน ต้องเป็นผู้นำที่ดี

นายกมูลนิธิ รปค. กล่าวถึงพระดำรัสสอนของสมเด็จย่าต่อไปอีกว่าคนที่จะเป็นผู้นำหรือผู้ที่จะประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วยคุณลักษณะคือมีความตั้งใจจริง คิดจริงทำจริง ตัดสินใจรวดเร็ว มีความเฉียบขาดไม่ลังเล ต้องมีทรัพย์หรือมีทุนเพราะการทำสิ่งใดต้องมีค่าใช้จ่าย มีความคิดอย่างเดียวไม่ได้จะทำอะไรไม่สำเร็จ แล้วก็ต้องมีเกียรติมีอำนาจ จะช่วยให้ได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ดี แต่ต้องมีเมตตากรุณา ท่านขวัญแก้วคงหมายถึงการดำเนินการในทางที่สุจริตดีงาม


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


"อย่างท่านผู้ว่าฯ มีเกียรติแล้วก็มีอำนาจ แต่ท่านก็มีเมตตากรุณา" หันไปทางผู้ว่าฯปรีชา เรืองจันทร์ ยิ้มมุมปาก แล้วขอให้ท่านผู้ว่าฯ กล่าวความรู้สึกกับนักเรียน แต่ก่อนที่นักเรียนและผู้ปกครองจะได้ฟังท่านผู้ว่าฯ ท่านขวัญแก้วได้แนะนำอดีต นร.รปค. ที่เรียนปริญญากันไปหมดแล้ว ทำงานกันแล้ว มีโอกาสเดินทางร่วมไปในคราวนี้ คือ นางสาว วิไส สีแสงและนางสาว จันทร์ดี โดยท่านขวัญแก้วแนะนำว่าพี่วิไส เป็นชาวไร่พ่อแม่ทำไร่ข้าวโพดที่พิษณุโลกนี่แหละ เรียนจบมัธยมที่ ร.ร.รปค.23 นครไทยได้รับทุนพระราชทานเรียนต่อจนจบปริญญาตรีแล้วต่อจนจบปริญญาโทแล้ว ทำงานที่มูลนิธิ รปค. ส่วนพี่จันทร์ดีเป็นคนศรีสะเกษจบที่ ร.ร.รปค.29 ศรีสะเกษ ได้รับทุนพระราชทานเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ ได้คะแนน 4 เต็มทุกปี แล้วไปเรียนเนติบัณฑิตต่อก็จบภายในปีเดียว ปัจจุบันทำงานที่สำนักงานกกต.

"บ้านพี่ไม่ใช่ร่ำรวย จริงๆ แล้วจนด้วยซ้ำไป อาชีพก็ทำนาทำไร่ (พี่จันทร์ดีบอกไม่มีนาเป็นของตัวเองด้วย) พูดง่ายๆ ก็เรียกว่าเกิดมาโชคร้ายที่จน มองไม่เห็นโอกาสว่าจะได้เรียนจบสูงๆ

แต่แล้วโชคก็มาถึงเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ร.ร.รปค.มาให้ น้องๆ เองก็นับว่าโชคดีที่สมเด็จย่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงสร้างโรงเรียนให้ แล้วก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานความช่วยเหลือ นับเป็นโชคดีที่สุดแล้วในชีวิต

พี่ขอให้น้องๆ ไขว่คว้าโอกาสอันดีนี้ขยันอดทน การเรียนมีค่าสำหรับพวกเราคนจนมาก การเรียนการศึกษาจะเป็นเครื่องมือให้เราสามารถอยู่ในสังคมได้ สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้สร้างครอบครัว ช่วยเหลือสังคมได้ตามความเหมาะสม ขอให้ทุ่มเทตั้งใจเล่าเรียนหาความรู้ความสามารถสนองพระมหากรุณาธิคุณสนองพระเมตตาที่ทรงห่วงใยพวกเรา" สองสาวอดีตลูก รปค.กล่าวในทำนองเดียวกัน


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า


"ต้องขอขอบคุณท่านนายกมูลนิธิที่นำสิ่งดีงาม นำพระราชหฤทัยห่วงใยมาสู่เด็กๆ และประชาชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ส่วนใหญ่แล้วเป็นครอบครัวยากจนด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาสที่ดีทัดเทียมคนในเมืองใหญ่

เด็กนักเรียนทุกคนแม้จะอยู่ ร.ร.กัลยาณิวัฒนา1 ก็มีโอกาสเท่าเทียมกับเพื่อนๆใน ร.ร.รปค. ขอให้ก้าวตามอย่างพี่ๆไปในทางที่ถูกที่ดีงาม คือการมีวิชามีความรู้สามารถสร้างครอบครัวได้"

ท่านผู้ว่ากล่าวสรุป ก่อนรับสิ่งของด้านการศึกษาพระราชทาน นักเรียนทุกคนยืนขึ้นกล่าวพระบรมราโชบายพร้อมกัน

หนึ่ง รู้จักรักษาความสะอาดทั้งกายและใจ สอง รู้จักช่วยเหลือตนเอง สามเป็นเด็กดีมีเมตตากรุณา สี่ มีความซื่อสัตย์สุจริต ห้า ตรงต่อเวลา หก มีความกตัญญูกตเวที เจ็ด มีความขยันหมั่นเพียร แปด ความประพฤติเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน เก้า มีความโอบอ้อมอารี สิบ รู้รักสามัคคีอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข สิบเอ็ด รู้จักทำสวนครัวเลี้ยงสัตว์แล้วนำไปจำหน่าย และสิบสอง รู้จักมัธยัสถ์อดออมฝากเงินไว้กับธนาคารเพื่ออนาคตของตนเอง

หลังมอบสิ่งของพระราชทานแล้วท่านขวัญแก้วนำคณะต่อไปยัง ร.ร.รปค. 23 ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอนครไทยเช่นกัน.


คำสอนพระราชทานจาก สมเด็จย่า

ขอบคุณที่มา > > welovethaiking


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์