เราเพิ่งเรียนจบมาไม่ถึงปีค่ะ เรียนจบแล้วก็ทำงานเลย งานก็ทำอยู่จังหวัดเดียวกับมหาลัยที่เรียนอยู่ อาศัยอยู่กับญาติฝั่งแม่ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อ่านถึงตรงนี้ก็พอรู้แล้วว่าบ้านเราฐานะปานกลาง ไปจนถึงลำบากเลยล่ะ เรื่องนี้มันเริ่มต้นที่งานของเรานี่แหละค่ะ ที่ทำให้เราเป็นหนี้ 2 ล้าน ในวัยเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น
งานที่เราทำเป็นงานรายได้ดีมากค่ะ ถ้าเทียบกับอายุงาน+อายุเรา เงินดีจนเพื่อนๆญาติๆทุกๆคนร้องว้าว! ยิ่งเป็นเด็กจบใหม่ด้วย ตาวาวค่ะจุดนี้ แม่เราก็ยินดีที่จะให้ทำงานนี้เลย เพราะเงินดีมาก บอกเลยว่าจุดนี้คือด้วยความเห็นแก่เงินล้วนๆ อยากเก็บเงินเยอะๆไปเที่ยวต่างประเทศตามความฝัน ก็เอาเลยค่ะ พุ่งชน!
หลังจากทำงานนี้มาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนเรื่องก็เกิดค่ะ แม่เราไปคบเพื่อนใหม่ แล้วพอดีเพื่อนคนนี้ทำธุรกิจอสังหา (นางเป็นเพื่อนของเพื่อนแม่อีกที) ตอนเจอนางนางบอกว่า เห็นแม่เราบ่นอยากมีบ้าน (ตั้งแต่เราเกิดก็เช่าบ้านอยู่ค่ะ) นางก็เลยมาขายให้แม่เราในราคา 2 ล้าน แม่เราก็ตาลุกวาว เข้าทาง อยากได้บ้านมานาน แล้วแม่ก็ไปเล่าเรื่องเงินเดือนเราให้เพื่อนคนนี้ฟัง ว่าได้เดือนละเท่านี้ๆ โอทีอย่างงั้น โบนัสอย่างงี้ ซึ่งจุดนี้เราไม่พอใจมากๆ เพื่อนแม่รู้หมดว่าเราได้เงินเดือนเท่าไหร่อะไรยังไง รู้ทั้งตำบล คึอมันเรื่องในบ้านก็ไม่ควรไปบอกรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละเราทำอะไรไม่ได้ เพื่อนคนนี้ก็เลยยุว่าให้เอาชื่อเรากู้ธนาคาร รับรองได้แน่นอน!
แม่เราก็เอาแล้ว ด้วยความเป็นคนไม่เชื่อลูกอยู่แล้ว วันนั้นเราทำงานอยู่ แม่ก็โทรมา เลยปลีกออกมารับ พร้อมกับต้องช็อค แม่ยื่นอาญาสิทธิ์ว่าจะให้เรากู้เงินธนาคารมาซื้อบ้าน ซึ่งเป็นบ้านที่เราไม่เคยไปดู ไม่มีส่วนตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น แล้วตอนนั้นเรามีแผนลาออก เพราะงานเครียดมาก และเราเสียสุขภาพจิตไปมาก (ขอเล่าเท่านี้สำหรับเรื่องงานนะคะ) และเราก็บอกแม่ไปแล้วด้วย เราก็เลยอธิบายกับแม่อีกครั้งว่า " แม่ หนูจะลาออกนะ แล้วเราจะส่งยังไงไหวเดือนละหมื่น แม่ไหวเหรอ " (บ้านเราค้าขายไม่ดีมาหลายปีมากแล้วค่ะ เงินไม่เคยพอใช้เลย ค่าเทอมก็กู้เรียนค่ะ ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ได้ญาติๆช่วย) " ไหนจะค่าเทอมน้องอีก ตอนนี้มันไม่เร็วไปเหรอ" แม่เราก็ตอบมาเลย "จะไม่ช่วยใช่มั้ย" ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจมากค่ะ พอเราพยายามอธิบายอีกก็อ้างว่าแม่อยากมีบ้านมานานแล้ว ทำไมลูกเห็นแก่ตัว ทำไมไม่ช่วยแม่ ทำนองนี้ค่ะ คือจำไม่ได้ละเอียด แต่ตอนนั้นน้ำตาแทบไหล ทั้งโกรธทั้งเสียใจมากที่แม่คิดแบบนี้ แล้วไม่ฟังเหตุผล ลองจินตนาการว่าเรายกเหตุผลที่ดีแค่ไหนไปเค้าก็ตีกลับมาด้วยสิทธิความเป็นแม่ สุดท้ายก็วางหูใส่เราค่ะ วางไปดื้อๆโดยไม่ฟังอะไรเลย
ตอนวางหูต้องกลั้นน้ำตาค่ะ ทำงานเหนื่อยเครียดพอแล้วอยู่ๆก็มีเรื่องบ้าๆเข้ามาอีก สุดท้ายก็ต้องโทรไปง้อแม่ค่ะ สุดท้ายก็ต้องยอมกู้ ทั้งที่ไม่ได้อยากได้บ้านหลังนั้นเลย แถมวันเซ็นเอกสาร แม่ก็ให้เราไปคนเดียวค่ะ ไม่ได้ไปช่วยดูเอกสารใดๆ ทิ้งเราไปนั่งเป็นอะไรก็ไม่รู้อยู่ธนาคารทั้งวันคนเดียว เค้าให้ทำอะไรก็ทำไม่รู้เรื่องรู้ราว (ยอมรับว่าจุดนี้น่าด่าค่ะ เธอโง่รึป่าว ยอมรับว่าโง่ค่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ) จนเซ็นต์เอกสารเสร็จไปทำเรื่องต่อที่ที่ดิน นู่นนี่ ทำเองหมดค่ะ
แล้วแม่ก็ได้บ้านมา หลังจากนั้นแม่ดูแฮปปี้มากค่ะ เวลาเราโทรหาก็จะพูดเรื่องย้ายบ้านตลอด ฟินมาก มีความสุขมาก แต่เราเนี่ยเครียดมาก ต้องมานั่งใช้หนี้งกๆ 30 ปี เดือนละเป็นหมื่นๆ บ้านก็ไม่ได้อยู่ เข้าใจค่ะว่าเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว เรารู้สึกจะตกนรกทุกวันที่คิดแบบนี้ แต่เราไม่สบายใจมากๆพูดให้ใครฟังเค้าก็ไม่เข้าใจ เพื่อนวัยเดียวกันเค้าก็ไม่ต้องมาเจอปัญหาแบบนี้กัน พูดให้แม่ฟังว่าเนี่ยเครียดนะ ต้องมาส่งบ้าน งานการก็ลูกผีลูกคน แม่ก็ตอบมาแค่ว่า "แม่ไม่ให้ลูกลำบากหรอก" ไม่ลำบากยังไงล่ะคะ เดือนแรกที่ธนาคารหักหนี้ออกจากเงินเดือน ตอนแรกแม่บอกจะให้เราประมาณ 60% แต่ลุดท้ายก็ให้เราออก 50% เลย เดือนแรกก็ลำบากแล้วค่ะ แล้วคิดดูต้องเป็นแบบนี้ไปอีก 30 ปี ซึ่งวันนึงเราต้องออก 100% อยู่แล้ว จะกลับไปอยู่ตอนไหนก็ไม่รู้ บ้านเราเป็นจังหวัดเล็กๆค่ะ ไม่มีงานอะไรให้ทำนอกจากราชการ ซึ่งแน่นอนว่าไม่พอค่ะ ค่าบ้านก็ไม่พอแล้ว ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี เราคงไม่ได้กลับไปอยู่ง่ายๆ แล้ยิ่งเครียดไปอีกพอคิดไปถึงว่าอีก 2 ปีต้องใช้หนี้กยศ ไม่ใช่น้อยๆเลยค่ะ เรากู้มาตั้งแต่มัธยม เรียกว่าตอนนี้อายุน้อย หนี้(จะ)ร้อยล้าน กันแล้วค่ะ
ขอพูดเรื่องแม่เพิ่ม ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราท้อแท้ในชีวิตมากๆก็แม่เรานี่แหละ เรื่องเงินค่าบ้านเดือนแรก ทางธนาคารหักจากเงินเดือนเราไปใช่มั้ยคะ เราก็เลยตกลงกับแม่ว่า แม่ก็โอนส่วนของแม่มาให้หนูแล้วกัน แล้วพอถึงวันที่แม่สัญญาว่าจะโอนให้ แม่หายเงียบไป เราก็แค่ไลน์ไปเตือนว่าอย่าลืมค่าบ้านนะ เพราะเราเองก็มีภาระหนี้ผ่อนโทรศัพท์ที่ต้องไปสะสางเหมือนกัน และรวมถึงค่าใช้จ่ายในบ้านอื่นๆที่ต้องช่วยญาติด้วยเพราะอาศัยเค้าอยู่ แม่เราก็อ่านนะคะ แต่ไม่ตอบ! เราก็โอเค ค่อยถามใหม่ วันต่อมาก็ทักไปใหม่ว่าทำไมไม่ตอบ มาเลยค่ะ ดราม่ามาเต็มยาวมาก จับใจความได้ว่าจิตใจทำด้วยอะไรมาทวงเงินแม่ ทำไมไม่เคยถามบ้างว่าแม่เหนื่อยมั้ย บลาๆๆ (เราถามตลอดค่ะ เราเป็นคนโทรหาแม่ตลอด แม่ไม่เคยโทรหาเรา ยกเว้นมีธุระเรื่องบ้านบ้าๆหลังนี้) โอ้โห บอกเลยร้องไห้สิคะ โอเค เกมพลิก กรูผิด! ก็เลยพิมกลับไปเลยค่ะ " มาถามเฉยๆนะ เพราะว่าไม่ตอบ ถ้าตอบก็ไม่ถามซ้ำ มีเหตุผลน่อยนะ รู้ตลอดว่าแม่เหนื่อย ไม่เคยคิดว่าไม่เหนื่อยหรอก " แล้วแม่ก็เงียบไปค่ะ
บอกเลยตอนนั้นท้อมากๆ เห็นอนาคตเลยค่ะ แม่ไม่เคยสม่ำเสมอเรื่องเงิน รวมถึงเรื่องอื่นๆ แม่สัญญาอะไรไม่เคยทำได้เลยค่ะ เราไม่คาดหวังอะไรจากเค้ามาทั้งชีวิตแล้ว แต่เพราะว่าเงินเรื่องใหญ่อยู่นะคะ เราเองก็มีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ เราโอนเงินให้แม่ทุกเดือนแทบจะทันทีที่เงินเดือนออก เพราะคิดว่าแม่จำเป็นต้องใช้ แล้วอีกอย่าง เราช่วยแม่เรื่องค่าใช้จ่ายได้ แต่ไม่มีใครช่วยเราได้นะคะ เราต้องเลี้ยงตัวเอง 100% เราถึงไม่อยากเข้าเนื้อ เรายอมกู้ตรงนี้ก็เพราะเชื่อใจแม่ แต่ตอนนี้เฟลมากๆ เฟลหลายๆอย่าง คิดว่าวันนึงมันต้องมากมายกว่านี้แน่ๆ คิดไปถึงว่า โห ต้องใช้หนี้อีกกี่ปีจะหมด จะเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องทำงานใช้หนี้จนเงินเดือนหมด แล้วจะลืมตาอ้าปากได้ตอนไหน คิดแล้วก็อยากตายเลยนะคะ คิดว่ามองไปข้างหน้าไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหนี้ หนี้ หนี้ แล้วก็หนี้ บางทีก็คิดว่าเออ ตายดีมั้ย ตายได้แล้วมั้ย ตายเหอะ เหนื่อยแล้ว หาทางออกไม่ได้ค่ะ งานที่จะลาออกผู้ใหญ่ทั้งญาติๆทั้งแม่ก็มาบิ๊วว่าไม่ให้ออก เดี๋ยวเงินไม่พอค่าบ้าน คือ เราผิดเหรอคะ? ที่ต้องมารับภาระนี้ ทั้งที่เราไม่เคยอยากได้เลย เราโดนบังคับแท้ๆต้องมานั่งรับกรรม อยากถามพี่ๆว่าควรทำยังไงเรื่องลาออกด้วย ควรจะออกมั้ย แต่เราค่อนข้างไม่โอเคกับงานมากๆค่ะ ตอนนี้ก็ทนมาจะครบปีแล้ว อึดอัดมากๆเครียด ช่วงนึงแทบจะเป็นโรคซึมเศร้า คือจากคนเฮฮาก็จะเป็นบ้าเลยค่ะ ไม่มีใครช่วยเหลือ ไม่มีใครเห็นใจเลย จะน้อมรับทุกความเห็นนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ จบแล้วค่ะ