สัตว์ทั่วไปดื่มนมจากแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก พออายุมากขึ้นหน่อยก็จะเลิกดูดนมและกินอาหารอย่างอื่นแทน แต่มนุษย์น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกที่ดื่มนมตั้งแต่แรกทารกและยังมีสมองที่จะสามารถไปรีดนมจากสัตว์ชนิดอื่นมาเก็บสะสมเอาไว้ดื่มกินแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
ความจริงแล้วนมวัวก็น่าที่จะเหมาะกับวัวมากที่สุด นมคนก็น่าจะเหมาะกับคนเช่นเดียวกัน คนจะมีน้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอดด้วยการดื่มนมจากแม่อย่างเดียว แต่ลูกวัวนั้นน้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัมในเวลาเท่ากัน และวัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม
แต่ลูกคนกินนมวัวมากกว่าลูกวัวเสียอีก ลูกวัวดื่มนมจากแม่วัวแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบๆปี ฉะนั้นฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ของวัวจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิม
เพราะการถูกครอบทางวัฒนธรรมและแฟชั่นจากชาติมหาอำนาจทางตะวันตกว่าคนที่เป็นดาราภาพยนตร์ต้องตัวโตสูงใหญ่มีโอกาสในการทำงานมากและจะหารายได้ได้มาก และคนเอเชียตัวเล็กเพราะขาดโปรตีน ต่อมารัฐบาลในหลายประเทศรณรงค์ให้คนเอเชียจำนวนหันมาดื่มนมวัวและมีร่างกายใหญ่โตมากขึ้น จนเราไม่เคยรู้อีกด้านหนึ่งนมวัวว่าเป็นอันตรายอย่างไร แม้แต่ในประเทศไทยก็ส่งเสริมให้เด็กดื่มนมวัวติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้วจนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกันการดื่มนมวัวที่มากขึ้นของคนไทย ก็ได้สร้างให้อุตสาหกรรมยาได้ขายยาอีกจำนวนมากให้คนไทยได้กินกัน
ความจริงแล้วคนไทยและคนเอเชียถึงร้อยละ 80 ไม่มีน้ำย่อยแล็กโตสในนม ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการท้องเสีย และอีกส่วนหนึ่งก็คือแพ้เคซีนในนม ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์สามารถดูดซึมโปรตีนในนม (Net Protein Utilization) ได้เพียงร้อยละ 82 และดูดซึมไม่ได้อีกร้อยละ 18 จะดูดซึมไม่ได้ จะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและทำให้เกิด Immune Complex หรือสารก่อภูมิแพ้ตัวใหม่ๆขึ้น
นายแพทย์ เอส. ซี. ทรูเลิฟ ในวารสาร British Medical Journal ปี 1961 และงานของ ดี.โจเซฟ ซักคา ในวารสาร Annual of allergy พฤษภาคม 1971 ระบุเอาไว้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมกับการเกิดลำไส้อักเสบจากภาวะภูมิแพ้
นอกจากนี้ นมวัว เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จึงมีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงและเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เราอาจไม่รู้ว่าการดื่มนมวันละ 2 แก้ว เทียบเท่ากับรับคลอเรสเตอรอลจากการรับประทานเบคอน 34 ชิ้น!!!
และยังรวมถึงโรคอื่นๆอีกมากที่มีความสัมพันธ์กับนมวัว เช่น โรคกระดูกพรุน โรคอัลไซเมอร์ โรคเวียนศีรษะในผู้สูงอายุ โรคปวดหัวไมเกรน ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น หลายคนเดิมอาจคิดว่าการดื่มนมวัวมากๆน่าจะเพิ่มแคลเซียมในกระดูก ทำไมถึงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงมีอยู่ว่าน้ำนมประกอบด้วยแคลเซียมประมาณ 3 ส่วนและฟอสฟอรัส 2 ส่วน หากดื่มนมมากกว่า 500 มิลลิลิตร ร่างกายก็จะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินจำเป็น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูก จนเป็นเหตุให้มวลหรือเนื้อกระดูกบางลง
นอกจากนี้ Dr. Samuel Epstein จากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ ได้เตือนถึงอันตรายของระดับฮอร์โมนชนิดหนึ่งในนมวัวซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโต ชื่อ Insulin like Growth Factor One หรือ IGF-1 ปริมาณสูงในนมจากวัวซึ่งถูกฉีด synthetic bovine growth hormone(rBGH) เขาได้เตือนว่า IGF-1 ในนมวัวเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งทางเดินอาหาร
ยังมีนักวิจัยอีกมากพบว่า IGF-1 มีความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยืนยันผลว่า ระดับ IGF-1 ในเลือดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เป็นนักโภชนาการของสหรัฐอเมริกา เคยทำงานวิจัยในสถาบันทีมีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์ (MIT), สถาบันเทคโนโลยี เวอร์จีเนีย, มหาวิทยาลัยคอร์เนล และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสหพันธ์อเมริกันเพื่อการทดลองวิทยา และได้ทำงานวิจัยระดับชาติจีนศึกษา (China Study) ซึ่งเป็นงานร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และสถาบันการแพทย์ป้องกันโรคของประเทศจีน ได้เป็นบุคคลหนึ่งที่วิจัยและทดสอบพบว่าเนื้อสัตว์และโปรตีนจากสัตว์มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิดของมนุษย์
ซึ่งแม้จะงานวิจัยดังกล่าวจะมีรายละเอียดในการทดสอบและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชาวจีนกับชาวอเมริกัน แต่ในที่นี้จะขอไม่กล่าวถึงการวิจัยเรื่องมนุษย์ เพราะผมเห็นว่าน่าจะยังมีตัวแปรอีกมากที่อาจไม่เกี่ยวกับอาหารชนิดเดียวกันโดยตรง เช่น อาหารอื่นๆ อารมณ์ อากาศ วัฒนธรรม การออกกำลังกาย อาการอุปทานหรือยาหลอก ฯลฯ ในที่นี้จึงขอกล่าวอ้างอิงเฉพาะการทดสอบที่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้โดยการใช้หนูทดลอง ซึ่งได้ผลน่าสนใจบางประการดังนี้
ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เดิมเป็นคนที่ส่งเสริมให้คนบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม และไข่มาก ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ภายหลังต่อมากลายเป็นผู้ที่รณรงค์ให้คนลดการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์และนม โดย ดร.ที คอลลิน แคมเบลล์ ได้พบงานวิจัยของอินเดียซึ่งเป็นจุดประกายสำคัญในการทดลองต่อๆกันมา โดยงานานวิจัยชิ้นนั้นพบว่า
"หนูทดลองทุกตัวซึ่งได้รับสารก่อมะเร็งในถั่วที่ชื่อ อะฟลาทอกซิน พบว่าหากให้โปรตีนจากนมวัว 20% พบว่าหนูทั้งหมดจะกลายเป็นโรคมะเร็งในตับ ในขณะที่หนูกลุ่มที่ได้รับโปรตีนจากนมวัว 5% จะไม่มีตัวไหนเป็นมะเร็งเลย"
ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ จึงได้ทำการทดลองต่อยอดกับหนูทดลองอีกหลายกรณีพบผลการวิจัย สรุปการทดลองบางส่วนพบว่า
1. การบริโภคโปรตีนจากนมวัว (เคซีน)ลดลง จะมีผลทำให้การจับกันระหว่างอะฟลาทอกซินกับดีเอ็นเอลดลง และทำให้มีหลักฐานชี้ชัดว่าการบริโภคโปรตีนจากนมวัวในปริมาณที่ต่ำมีผลทำให้การทำงานของเอนไซม์ลดลงอย่างมาก และป้องกันไม่ให้สารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายจับกับดีเอ็นเอ และเมื่อสัตว์ตัวเดียวกันที่กินโปรตีนจากนมวัวมากแล้วมีรอยโรค (foci) ที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกแล้ว ถ้าลดปริมาณลงก็รอยโรคที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกก็ลดลงตามไปด้วย แต่ถ้ากลับมาเพิ่มปริมาณการบริโภคโปรตีนจากนมวัวอีกก็รอยโรคที่ก่อให้เกิดเนื้องอกก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาอีกเช่นกัน
2. การบริโภคโปรตีนจากพืช ทั้งจากข้าสาลี และถั่วเหลือง แม้จะใส่ปริมาณมากถึง 20% ให้เท่ากับเคซีนในโปรตีนของนมวัว พบว่าไม่เกิดรอยโรค (foci) ที่จะพัฒนากลายเป็นเนื้องอกได้
3. มีการอ้างอิงศูนย์การแพทย์อิลลินอยส์ เมืองชิคาโก ในสหรัฐอเมริกา พบว่าการบริโภคเคซีน (โปรตีนจากนมวัว) ในหนูทดลองเพิ่มขึ้น เป็นการส่งเสริมทำให้เกิดมะเร็งเต้นนมมากขึ้น
โรคต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นถ้าเกิดกับมนุษย์ก็จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและเห็นผลได้ดีด้านเดียวว่านมวัวทำให้ร่างกายมนุษย์ใหญ่โตขึ้น
ความจริงแล้วคนไทยสมัยก่อนไม่เคยดื่มนม เพิ่งจะมาเริ่มดื่มกันจริงก็ประมาณ 50-60 ปีมานี้เองที่ฝรั่งมาสอนและรณรงค์ให้ดื่ม และสมัยก่อนชาวสยามก็ได้รับโปรตีนและแคลเซียมจากอาหารอย่างอื่นโดยไม่ต้องดื่มนมวัว แต่เมื่อเริ่มดื่มนมวัวกันมากขึ้นก็ดูเหมือนว่าคนไทยเริ่มเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น และบริษัทขายยาก็ขายได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
จากบันทึกของนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ เรื่อง "หมอฝรั่งในวังสยาม" โดยหมอสมิธเป็นแพทย์ชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเป็นหมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
"ชาวสยามไม่ดื่มนมวัวทุกรูปแบบ การเลี้ยงปศุสัตว์ทุกรูปแบบไม่เป็นที่รู้จักกันในเอเชียตะวันออก ชาวจีน ญี่ปุ่น และอินโดจีน ไม่เคยแตะต้องนมเลย ตั้งแต่หย่านม กระนั้นก็ตาม พละกำลังและความแข็งแรงของร่างกายโดยทั่วไป ไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป"
คำถามชวนให้คิดต่อมาก็คืออะไรที่ทำให้ชาวสยามในอดีตมีพละกำลังแข็งแรงไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป โดยไม่ต้องดื่มนมวัว !?
******* *******
(หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่เพื่อเป็นความรู้ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนำไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อ อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งด่า หากข้อมูลนี้ไปกระทบความเชื่อ หรือธุรกิจของคุณ เรื่องเหล่านี้ถือว่า “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” นะคะ)
https://www.facebook.com/135957369811772/photos/a.397486816992158.91519.135957369811772/978288028912031/?type=3&theater