อาหาร 7 ชนิดที่ไม่ควรกินทุกวัน

เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์อยู่บ่อยๆ แต่คุณอาจรู้สึกประหลาดใจที่รู้ว่ามีอาหารที่คุณไม่ควรรับประทานซ้ำๆทุกวันด้วย เนื่องจากหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้สารอาหารภายในร่างกายเสียความสมดุล โดยทั่วไปคุณควรหลีกเลี่ยงอาหารขยะและหมั่นรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง แต่อาหารบางอย่างก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หากคุณรับประทานอาหารเหล่านั้นมากเกินไป และนี่คืออาหาร 7 ชนิดที่คุณไม่ควรรับประทานทุกวัน

1. อาหารกระป๋อง

ถั่วและมะเขือเทศกระป๋องอาจดูไม่มีพิษภัย แต่จริงๆแล้วพวกมันมีสารเคมีอันตรายที่สามารถสร้างความเสียหายได้ในระยะยาว เนื่องจากตัวกระป๋องประกอบด้วยสาร BPA ซึ่งอาจทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคอ้วนและโรคเบาหวาน

2. ผักตระกูลกะหล่ำปลี

แม้ว่าผักคะน้า บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดอกจะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารอื่นๆ แต่การรับประทานผักเหล่านี้บ่อยเกินไปอาจทำให้เป็นโรคพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน หากคุณขาดผักคะน้าไม่ได้ก็ลองนำมาปรุงสุกก่อนเนื่องจากจะช่วยลดสารที่ทำให้เกิดโรคคอพอกได้

 

3. ปลาทูน่า

ปลาทูน่ามีสารปรอทสูงซึ่งอาจทำลายพัฒนาการของเด็กและกระตุ้นให้เกิดอาการหัวใจวายในผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นควรหันมารับประทาน Light tuna แทนเนื่องจากมีระดับสารปรอทต่ำและควรรับประทานเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

 

4. เนื้อสัตว์แปรรูป

คนส่วนใหญ่นิยมทำแซนด์วิซเป็นอาหารกลางวันแต่คุณอาจไม่ทราบถึงอันตราย เนื้อสัตว์แปรรูปมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้นคุณควรจำกัดการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูปต่างๆ เช่น รมควัน และหมักเกลือ

5. น้ำผลไม้ปั่น

น้ำผลไม้ปั่นนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาลทรายและควรจะเป็นอาหารมื้อพิเศษมากกว่าจะเป็นการอาหารทดแทน ลองลดปริมาณผลไม้และเพิ่มผักให้มากขึ้นจะดีกว่าเนื่องจากจะช่วยลดการบริโภคน้ำตาลลงด้วย

6. แป้งขาว

การรับประทานแป้งสาลีขัดสีมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา สารอาหารเกือบทั้งหมดจะหายไปในระหว่างการแปรรูปเหลือไว้แต่แคลอรี่ล้วนๆ ทำให้หิว เฉื่อยชา และรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นด้วย

7. เครื่องปรุงรส

เครื่องปรุงรส เช่น มายองเนสและซอสมะเขือเทศอาจดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่หากคุณรับประทานเป็นประจำ ผลกระทบจากส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ก็จะเริ่มสะสมมากขึ้น ส่วนผสมที่มีปัญหา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง ผงชูรส และกรดไขมันโอเมก้า-6 ซึ่งหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบ ความผิดปกติของสมอง เฉื่อยชา ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด และความไม่สมดุลทางอารมณ์ท่ามกลางภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

ที่มา issue247