ณ วังสระปทุม พุทธศักราช ๒๔๙๓
นับตั้งแต่ต้องทรงสูญเสียพระบรมราชสวามี คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไปเมื่อ ๔๐ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๔๕๓) สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ยิ่งทรงมีพระอากัปกิริยาที่เงียบขรึมและหม่นเศร้าลงยิ่งกว่าเดิมเป็นทบทวี
ท่านผู้ใหญ่ฝ่ายในในขณะนั้นเล่าว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ความสูญเสียคราวนั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไม่ทรงแย้มสรวลเลย จนถึงกับมีผู้กล่าวว่า ถ้าเห็นพระองค์ท่านทรงพระสรวลก็นับเป็นบุญยิ่งแล้ว
ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ ด้วยพระชนมายุที่มากขึ้นอาจทำให้ "สมเด็จย่า" ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเลือนพระสัญญาไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นพระองค์ท่านก็ยังทรงจดจำ "พระองค์เล็ก" ผู้เป็น "หลานรัก" ของพระองค์ได้ดี
ด้วยเหตุนี้ "ข่าวดี" ที่ทรงได้รับทราบหลังจากนั้น ว่า "หลานชาย" ของพระองค์ จะเสด็จฯ นิวัตเมืองไทยพร้อมกับ "หลานสะใภ้" และ...ไม่แน่นักว่า การเสด็จฯ คืนสู่พระนครในครั้งนี้ "หลานรัก" ของพระองค์ อาจประทับอยู่กับพระองค์และชาวไทยเป็นการถาวรเสียทีกระมัง?
"ข่าวดี...ที่สุด" ดังกล่าว จึงเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมพระหฤทัยของ "ย่า" ให้ได้แย้มสรวลด้วยความสุขและชื่นบานอีกวาระหนึ่ง...และนับแต่นั้น สมเด็จฯ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ทรงเฝ้ารอคอย "วันนั้น" ให้มาเยือนด้วยพระหฤทัยที่จดจ่อ