มาร์ติน โอเลียร์รี นักวิทยาธารน้ำแข็ง หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยโครงการไมดาสซึ่งนำโดยมหาวิทยาลัยสวอนซี บอกว่า แม้ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ และยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน แต่การแยกตัวครั้งนี้ก็ทำให้หิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซีอยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วง ซึ่งถ้าหากหิ้งน้ำแข็งแตกออกมากขึ้นในอนาคตไม่กี่ปีหรือหลายสิบปีข้างหน้า ก็อาจจะทำให้ธารน้ำแข็งไหลลงสู่มหาสมุทรเร็วขึ้น และส่งผลต่อระดับน้ำทะเลได้ แม้จะเกิดขึ้นในอัตราที่ช้ามาก ๆ
ส่วนภูเขาน้ำแข็งที่แยกออกมานั้น เอเดรียน ลัคแมน หัวหน้าทีมวิจัยโครงการไมดาสบอกว่า เนื่องจากภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นหนึ่งในภูเขาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จึงคาดเดาได้ยากว่าจะเกิดอะไรต่อไปในอนาคต มันอาจจะคงสภาพภูเขาน้ำแข็งมหึมาต่อไปก็ได้ แต่คาดว่าน่าจะแตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งเล็กๆ มากกว่า ซึ่งทางทีมวิจัยจะเฝ้าติดตามทั้งหิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซีและภูเขาน้ำแข็งนี้ต่อไป
สำหรับภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีการตรวจพบด้วยดาวเทียมคือภูเขาน้ำแข็ง บี-15 ที่แตกออกมาจากหิ้งน้ำแข็งรอสเมื่อปี 2000 โดยมีขนาด 11,000 ตารางกิโลเมตร