เหตุใดการออมเงินจึงเป็นเรื่องยาก!?
ข้อนี้อาจฟังดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อหน่าย แต่คุณจำเป็นต้องทำหากต้องการออมเงิน คุณต้องเผื่อเงินไว้สำหรับวันหน้ารวมถึงต้องจ่ายเงินเพื่ออนาคตของตัวเองด้วย แต่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเงินจำนวนมหาศาล การจ่ายเงินให้ตัวเองก่อนคือการบ่งชี้ว่าคุณกำลังสร้างนิสัยการออมเงินใหม่ๆขึ้นมา ที่สำคัญควรเป็นจำนวนเงินที่คุณสามารถจัดการได้ง่าย เช่น เดือนละ 200 เหรียญหรือร้อยละ 25 ของรายได้ต่อเดือน เป็นต้น
ส่วนที่ยากที่สุดของการออมเงินคือการรักษาเงินก้อนนั้นให้อยู่ในบัญชีได้นานที่สุด เมื่อคุณเห็นยอดเงิน 25 เหรียญก็จะถามตัวเองว่า "เพื่ออะไร?" เนื่องจากเงิน 25 เหรียญจะทำให้คุณรู้สึกห่างไกลจากเป้าหมายมาก หรือเมื่อยอดเงินถึง 1,000 เหรียญคุณก็จะอยากถอนเงินก้อนนั้นเพื่อไปซื้อเสื้อตัวใหม่หรือดินเนอร์หรูๆ คุณต้องเข้าใจว่าการออมเงินคือการตัดสินใจว่าคุณต้องทำให้ได้ทุกๆเดือนโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นเนื่องจากจิตใจของคุณจะรู้สึกขัดขืน คุณต้องเลือกเก็บเงินก้อนนั้นไว้ในบัญชีทุกเดือนแม้ว่าสมองของคุณจะพยายามต่อรองที่จะถอนออกมาก็ตาม อย่าลืมว่าคุณใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมานานหลายปีและมักพร่ำบอกว่าคุณเป็นคนเก็บเงินไม่เก่ง ดังนั้นคุณต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานเพื่อเปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง การเริ่มต้นตัดสินใจเก็บออมเงินทุกๆเดือนจึงเป็นขั้นตอนแรกในการควบคุมการเงินของตัวเองอย่างแท้จริง
หากคุณรู้สึกเหมือนว่ากำลังใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน คุณก็จะไม่มีวันออมเงินได้จริงๆ ขณะเดียวกันฉันเคยเห็นบางคนเริ่มต้นออมเงินด้วยการหักออกจากรายได้ครึ่งหนึ่งทันที บอกเลยว่าทั้งสองวิธีนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จค่ะ ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องเข้าใจว่าเงินกำลังจะไปไหนและพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายไปพร้อมๆกับการออมเงิน
การออมเงินเพื่อซื้อสิ่งของไม่ใช่เรื่องยาก เพียงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีคุณก็มีเงินซื้อกล้อง คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค เงินสะสม วันหยุด หรือเป้าหมายต่างๆที่ตั้งเป้าไว้ในอนาคตได้แล้ว อย่างไรก็ตามการออมเงินใช่ว่าจะมีจุดประสงค์แค่การเก็บเงินเท่านั้น แต่พวกเขายังเผื่อไว้สำหรับการรักษาความปลอดภัย ความเป็นอิสระ โอกาส ความมั่นคง และความสงบทางจิตใจด้วย สิ่งเหล่านี้มีผลต่อความรู้สึกมากกว่าสิ่งของ คุณอาจต้องใช้เวลาเพื่อหาว่าความรู้สึกใดที่คุณปรารถนา แต่สุดท้ายคุณก็จะได้ทั้งการมีเงินออมและกลายเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์
ฉันได้พูดคุยกับคนมากมายที่บอกว่าพวกเขาจะเริ่มเก็บเงินเมื่อ "ได้รับเงินภาษีคืน" หรือ "ได้โบนัส" แต่สุดท้ายเงินภาษี โบนัส หรือลาภลอยเหล่านั้นก็จะหายไปและคุณก็จะบอกกับตัวเองในเรื่องเดิมๆอีกครั้ง ฉันเข้าใจว่าใครๆก็อยากเห็นผลลัพธ์ทันที คุณจึงต้องการรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม และท้ายที่สุดคุณก็จะไม่ได้เริ่มต้นสักที ที่สำคัญสมองของคุณมักจะหาวิธีโน้มน้าวให้คุณรอช่วงเวลาที่ดีกว่าเดิม