หนังสือ กรุงเทพฯ ยามราตรี ของ วีระยุทธ ปีสาลี ระบุว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว โรงโสเภณีและโรงบ่อนมีทั้งบนบกและเรือนแพ โดยเฉพาะในเขตชุมชนชาวจีนที่สำเพ็ง อย่างไรก็ตาม ลูกค้าโรงบ่อนไม่ได้มีแค่คนจีนและชาวบ้านทั่วไป แต่ยังมี
"คนในวงราชการใหญ่ๆ" เข้าเสี่ยงโชคด้วย ส่วนโรงโสเภณีมีการขับร้องเพลงให้แขกฟังด้วย
พัฒนาการในขั้นต่อมาในการเที่ยวเตร่ยามค่ำคืนของผู้ชายคือ การไป "คลับ" ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงไปสมาคมหรือสโมสรตามคำแปลเท่านั้น แต่หมายถึงไปเที่ยวโรงโสเภณีด้วย โดยในทศวรรษที่ 2420-2450 หรือเมื่อราว 100 กว่าปีที่ผ่านมา คำว่าคลับรวมถึง "บาร์" ยังถูกใช้เรียกโรงโสเภณีด้วย
คลับที่เป็นโรงโสเภณีมีลักษณะคล้ายสถานกินดื่มสาธารณะและสถานเริงรมย์ที่มีหญิงสาวไว้คอยบริการลูกค้า หากถูกใจกันก็ "ร่วมหลับนอน" ด้วยได้ ในช่วงเวลานี้มีโรงโสเภณีหรือคลับดัง เช่น "เบลีวิวบาร์" และ "สะเปล็นดิดบาร์" ย่านบางรัก สำหรับคลับที่มีชื่อเสียงในหมู่คนไทยและจีนคือ "คลับจางวางหม็อง" ที่ถนนวรจักร และ "คลับเบอร์ 10" ที่ถนนเจริญกรุง รวมถึง "คลับยี่สุ่นเหลือง" ที่ตรอกยายแพ่ง
คลับเหล่านี้ สะท้อนถึงความแพร่หลายของการค้าประเวณีในกรุงเทพฯซึ่งขยายออกนอกพื้นที่สำเพ็งไปสู่จุดอื่นๆอีก เช่น ย่านบางรัก เน้นลูกค้าชาวตะวันตก ส่วนย่านวรจักร เน้นคนไทย อย่างไรก็ตาม แหล่งใหญ่สุดยังคงเป็นสำเพ็งแต่เปลี่ยนที่ตั้งจากริมน้ำเป็นตรอกซอกซอยเพื่อเลี่ยงสายตาคน โดยยุคนี้ยังเป็นโสเภณีที่มีลักษณะแบบ "นางประจำสำนัก" สำนักที่โด่งดังที่สุด คือ "สำนักยายแฟง" ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีกิจการร่ำรวยจนยายแฟงนำเงินไปสร้างวัดชื่อว่า วัดใหม่ยายแฟง หรือ วัดคณิกาผล หมายถึง ผลที่ได้จากโสเภณี หรือนางคณิกา