จดหมาย 2 ฉบับจากลูกถึงพ่อแม่ แต่กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน !!
"จดหมายสุดขั้วสองฉบับ"
"จดหมายจากนักโทษประหารถึงพ่อแม่"
คุณพ่อ คุณแม่ครับ
พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะต้องถูกประหาร ผมไม่ทราบว่าเส้นทางชีวิตของผมเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ภาพในอดีตค่อยๆฉายออกมาทีละภาพผ่านสมองของผม
ตอน 3 ขวบ
ผมจำได้รางๆว่า ผมวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดก้อนหินหกล้ม
พ่อรีบอุ้มผมขึ้นมาปลอบ
แล้วพ่อใช้ขาเตะก้อนหินสองที
"ไม่ต้องร้องไห้ ก้อนหินก้อนนี้แย่จริงๆ พ่อลงโทษให้แล้ว"
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้
แต่พอเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น ผมก็เลยกอดพ่อแน่นร้องไห้อยู่นาน
เพราะพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การที่ผมหกล้ม ไม่ใช่เพราะผมไม่ระวัง แต่เป็นความผิดของก้อนหิน
แต่ผมไม่รู้ว่า มันแค่เป็นการปลอบใจจากพ่อเพื่อไม่ให้ผมร้องไห้
ตอน 4 ขวบ
ผมเอาแต่นั่งเฝ้าดูทีวีจนไม่ยอมกินข้าว
แม่ยกชามข้าวมาป้อนให้ผมทีละคำถึงหน้าจอทีวี
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ชีวิตสามารถเสพสุขได้ด้วยวิธีนี้
แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่กลัวว่าผมจะหิว เดี๋ยวก็ต้องมาวุ่นวายหาข้าวให้ผมกินทีหลัง
ตอน 6 ขวบ
พ่อพาผมไปซื้อของขวัญคริสต์มาส
ตกลงกันว่าจะให้ผมซื้อได้หนึ่งอย่าง
แต่พอผมได้ตุ๊กตาอุลต้าแมนแล้ว ผมยังอยากได้เครื่องร่อนอีก
พอพ่อไม่ยอมให้ ผมก็ลงไปนอนกองกับพื้นร้องไห้ไม่ยอมหยุด
สุดท้ายพ่อก็ต้องซื้อให้ผมทั้งสองอย่าง
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การใช้วิธีนี้จะทำให้ผมได้ในสิ่งที่อยากได้
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่กลัวว่าการกระทำของผมจะทำให้พ่อขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่น
ตอน 8 ขวบ
ผมคิดอยากจะซักถุงเท้าของผม แต่แม่กลัวว่าผมจะซักไม่สะอาด
ผมอยากช่วยล้างจาน แม่กลัวผมจะทำจานแตก
ผมอยากเทน้ำร้อนให้ตัวเอง แต่แม่กลัวผมโดนน้ำร้อนลวก
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมไม่สามารถทำงานยากๆหรืองานที่ดูเหมือนมีอันตราย
แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่ไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขงานให้ผม
ตอน 10 ขวบ
พ่อพาผมไปสมัครเรียนพิเศษสามแห่ง และเรียนกิจกรรมพิเศษอีกสองแห่ง
ทุกๆวันผมจะกลับถึงบ้านด้วยความอ่อนล้า
พ่อบอกผมว่า คนเราต้องอดทน จะได้เป็นเจ้าคนนายคน
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และน่าเบื่อมาก
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่อยากให้ผมดูโดดเด่นต่อหน้าญาติมิตร
ตอนอายุ 13
ผมเตะบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก
พ่อพาผมไปกล่าวคำขอโทษแล้วจ่ายค่าเสียหายไป
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า แค่กล่าวคำว่า "ขอโทษ"แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นได้แบบง่ายดาย
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อบ่นว่าเพื่อนบ้านถือโอกาสเรียกค่าเสียหายมากเกินไป
ตอนอายุ 15
ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ
แม่ไปขอยืมเงินญาติๆแล้วซื้อเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง
แต่ผมเล่นได้แค่เดือนสองเดือนก็เบื่อแล้ว ไม่ยอมเล่นต่อ
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า แม้ที่บ้านมีเงินไม่มาก แต่ก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
แต่ผมไม่รู้ว่า ที่บ้านต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะจ่ายหนี้ก้อนนั้นจนหมด
ตอนอายุ 19
ผมกำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
พ่อบอกว่าเป็นทนายความจะช่วยให้ฐานะทางสังคมสูงขึ้น
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ผมแค่ทำตามเส้นทางที่พ่อวาดหวังไว้ก็พอ
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเพราะพ่ออยากเติมเต็มความฝันให้ตนเอง
เพราะพ่อสอบไม่ติดตอนเป็นหนุ่ม
ตอนอายุ 20
ผมบอกแม่ว่าอยากได้มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
ผมอ้างว่าจะได้โทรกลับบ้านบ่อยๆ
แม่ส่งเงินมาให้ผมสามหมื่นบาททันที
แต่ผมโทรกลับบ้านปีละไม่กี่หน
แทบทุกครั้งจะเป็นการขอเงินเพิ่ม
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า พ่อแม่เป็นตู้กดเงินชั้นเยี่ยมของผม
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแม่ได้แต่เฝ้ารอโทรศัพท์จากผมด้วยความคิดถึง
ตอนอายุ 24
พอเรียนจบ พ่อก็ช่วยฝากงานให้ผมได้ทำงานในบริษัทใหญ่โต
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีก็สามารถหางานดีๆทำได้
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อต้องอาศัยเส้นสายขนาดไหนกว่าจะฝากผมเข้าทำงานได้
ตอนอายุ 27
ผมเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น
พวกสาวๆมักบ่นว่าผมเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ
แม่บอกผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับผม
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเลอเลิศ
แต่ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นแค่ผู้ชายเส็งเคร็งที่หาความดีแทบไม่ได้
ตอนอายุ 32
ผมเป็นหนี้พนันบอลเป็นล้าน
พ่อโกรธจนล้มป่วย แต่สุดท้ายก็ช่วยผมเคลียร์หนี้จนหมด
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าผมจะทำอะไรผิด พ่อจะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้เสมอ
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อแม่เตรียมไว้ใช้ในยามแก่
ตอนอายุ 35
พ่อแม่ช่วยอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว
ผมกับเพื่อนเข้าไปปล้นร้านค้า แล้วผมไปยิงเจ้าของร้านตายคาที่
ศาลตัดสินประหารชีวิตผม
พ่อแม่ตะโกนด่าว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวเราเลย
ท่านลำบากมาทั้งชีวิต แต่ต้องได้รับผลกรรมที่ไร้ความปราณี
ในที่สุดผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า
เพราะท่านใช้"ความรัก"
ฉกชิงโอกาสที่ผมจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความสามารถในการอยู่รอดด้วยตัวผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความรับผิดชอบในตัวของผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
วิธีการรักลูกแบบผิดๆ
สุดท้ายแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเราทั้งสองรุ่น
ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้วจากการสอนสั่งที่ผิดๆ
มันเป็นมือของพ่อแม่ผมเองที่ส่งผมขึ้นไปยังแท่นประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ
พ่อครับ แม่ครับ
กรุณาดูแลตัวเองให้ดี
ผมคงต้องขอลาจากท่านแล้วในวันพรุ่งนี้
หวังว่าในภพหน้าของผม ผมจะได้เรียนรู้วิธีการรับผิดชอบในตัวผมเอง
สำหรับชาตินี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะโกรธท่านหรือรักท่านกันแน่
อย่างไรก็ตาม ลูกต้องกราบขออโหสิกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ท่านต้องเสียใจกับลูกคนนี้มาตลอดชีวิต
จากลูกทรพีที่กำลังจะจากท่านไป
**************
"จดหมายจากลูกที่เป็นประธานบริษัท"
คุณพ่อ คุณแม่ครับ
พรุ่งนี้คือวันที่รอคอย ที่จะได้เห็นโรงงานของผมเริ่มต้นสายการผลิตอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ผมสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ได้สอนให้ผมรู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองมาตลอด ด้วยใจที่เปี่ยมสุขในขณะนี้ ภาพต่างๆในอดีตได้ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละภาพภายในใจของผมอย่างซาบซึ้ง
ตอน 3 ขวบ
ตอน 10 ขวบ ผมเห็นเพื่อนๆมีโอกาสไปเรียนกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียนยูโด เรียนศิลปะ เรียนสาระพัดอย่าง ท่านบอกผมว่า เวลาเรียนหนังสือในโรงเรียนให้ตั้งใจเรียน เวลาเลิกเรียนก็เป็นเวลาเล่นพักผ่อนให้เต็มที่ หากยังมีเวลาว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การจัดสรรเวลา" ของตนเอง
ตอนอายุ 13
ตอนอายุ 15 ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ ท่านพาผมไปซื้อหีบเพลง ท่านบอกผมว่าเป่าหีบเพลงให้เก่งก่อน แล้วค่อยตัดสินใจไปเรียนเปียโน ผมก็เลยเป่าหีบเพลงจนกระทั่งทุกวันนี้ และไม่เคยคิดจะไปหัดเล่นเปียโนอีกเลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความยืนหยัด" ของตนเอง
ตอนอายุ 19
ตอนอายุ 20
ตอนอายุ 24
ตอนอายุ 27
ตอนอายุ 32
ตอนอายุ 35
ขอบคุณทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ผมไม่มีวันลืมความใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านทั้งสอง ไม่เช่นนั้นผมจะไม่มีวันที่มาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ลูกคนนี้จะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง
จากลูกที่รักพ่อรักแม่สุดหัวใจ
**********
"ใจอ่อนกับลูกคือการทำร้าย
ใจแข็งกับลูกคือความรัก
หากคิดแต่จะรักลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา
พึงระวังต้องตามเยียวยาให้ลูกไม่จบไม่สิ้น"
คติพจน์สอนลูกของชาวยิว
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง