ดิซีส เอ็กซ์! หมอฮูชี้โควิด-19 เข้าข่ายโรคระบาดร้ายแรงอุบัติใหม่

ดิซีส เอ็กซ์! หมอฮูชี้โควิด-19 เข้าข่าย - วันที่ 25 ก.พ. เดลีเมล์รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก หรือฮู เตือนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อาจเข้าข่ายเป็น ดิซีส เอ็กซ์ (Disease X) ที่เป็นโรคระบาดร้ายแรงอุบัติใหม่ ซึ่งฮูเคยพยากรณ์ไว้ว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคต

ดิซีส เอ็กซ์ เป็นชื่อโรคที่ทางฮูบัญญัติขึ้นสำหรับโรคระบาดร้ายแรงจากเชื้อโรคชนิดใหม่ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับไข้เลือดออกไครเมียนคองโก ไข้เลือดออกอีโบลา โรคไข้เลือดออกลาสซา โรคซาร์ส โรคเมอร์ส โรคสมองอักเสบนิปาห์ โรคไข้ริฟต์ วาลเลย์ และโรคไข้ซิกา

แพทย์หญิงแมริออน คูปแมนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาจากฮู กล่าวว่า ไม่ว่าโรคดังกล่าวจะสามารถถูกสกัดกั้นได้สำเร็จหรือไม่ การระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้กำลังเข้าข่ายเกณฑ์ของ ดิซีส เอ็กซ์ ซึ่งเป็นความท้าทายของการระบาดแผ่วงกว้างของโรคอุบัติใหม่ที่ฮูเคยพยากรณ์ไว้ว่าอาจเกิดขึ้นได้

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาจากฮู เกิดขึ้นให้หลังรายงานการศึกษาของฮูที่พบข้อบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดเมื่อ 6 เดือนก่อน โดยประเมินไว้ว่าหากปล่อยให้ระบาดเป็นวงกว้างทั่วโลกอาจคร่าชีวิตผู้คนกว่า 80 ล้านคน

พญ.คูปแมนส์ ระบุว่า ความคล้ายคลึงเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มา และความสามารถทางระบาดวิทยาระหว่างโควิด-19 กับไวรัสซาร์สนั้นมีความชัดเจนมาก แต่หลังจากการระบาดของซาร์สในปี 2546 การเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเพิ่มมากขึ้นเป็น 10 เท่า ทำให้การควบคุมการระบาดทำได้ยาก

ดิซีส เอ็กซ์ เป็นโรคระบาดร้ายแรงอุบัติใหม่ที่ทางฮูบัญญัติขึ้นเพื่อหาทางรับมือ และเป็นความสำคัญอันดับแรกสุดในการวิจัยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลกมานานถึง 2 ปีแล้ว

ทว่า พญ.คูปแมนส์ กล่าวหาบรรดานักวิทยาศาสตร์และองค์กรวิจัยทางด้านการแพทย์ทั่วโลก ว่าไม่ได้ให้ความใส่ใจเตรียมการต่อการระบาดของโรคกลุ่มนี้เท่าที่ควร

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญสะท้อนจากรายงานของคณะกรรมการสังเกตการณ์เพื่อการเตรียมความพร้อมระดับโลก (GPMB) ของฮู ซึ่งนำโดยพญ.โกร ฮาร์เล็ม บรันด์แลนด์ อดีตผู้อำนวยการฮู พบข้อบ่งชี้การระบาดแผ่วงกว้างทั่วโลกของโรคคล้ายไข้หวัดตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อน

ข้อสรุปของรายงานเคยเรียกร้องให้บรรดาชาติต่างๆ เตรียมความพร้อมต่อการรับมือ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการระบาดแผ่วงกว้าง คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 50-80 ล้านคน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกอย่างน้อยร้อยละ 5 แต่ไม่ได้รับการใส่ใจจากนานาชาติส่วนใหญ่