ชวนรู้จัก! โอมิครอนXE แพร่เชื้อเร็ว อาการอันตรายจริงหรือ?
ตามข้อมูลของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม "XE" เกิดจากการผสมจีโนมของสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 (เดลตา & โอมิครอน) รวมกันในสัดส่วนประมาณ 35:65% ซึ่งทาง WHO ได้แจ้งเตือนให้ทุกประเทศช่วยกันจับตาเฝ้าระวัง เนื่องจากพบการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ประมาณ 10% และ รวดเร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 ประมาณ 43%
สายพันธุ์ลูกผสม "โอมิครอน XE" พบแพร่ระบาดครั้งแรกในประเทศอังกฤษตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2565 จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมของประเทศอังกฤษ พบโอไมครอน XEประมาณ 600 ราย ซึ่งปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 736 ราย อันแสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่าสายพันธุ์ลูกผสม "โอมิครอน XE" ไม่พบการระบาดที่รวดเร็ว (transmissibility) และอาการที่รุนแรง (severity) อย่างที่เคยกังวลแต่ประการใด
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ได้ถอดรหัสพันธุกรรมประมาณ 30,000 ตำแหน่ง (base) ของไวรัสตัวนี้และแชร์ไปยังฐานข้อมูลโควิดโลก "GISAID" เป็นที่เรียบร้อยโดยได้รับลำดับหมายเลขในการสืบค้น คือ "EPI_ISL_11720091"
ตามข้อมูลจากอินดิเพนเดนท์ มีการคาดการณ์ว่า อาการป่วยของโควิดสายพันธุ์ XE มีความคล้ายคลึงผู้ป่วยโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 โดยอาการป่วยโควิดระยะแรกในช่วงแพร่เชื้อ ได้แก่ เจ็บคอ, เหนื่อยล้า, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, น้ำมูกไหล, จาม, ท้องร่วง, เบื่ออาหาร, ปวดหลังช่วงล่าง และเหงื่อออกตอนกลางคืน
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาแจ้งเตือนประชาคมโลกถึงการอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ลูกผสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ลูกผสม "โอมิครอน XE" ที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์แบบก้าวกระโดด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโลก ดังนี้
- การระบาดของสายพันธุ์ลูกผสม "โอมิครอน XE" ที่อาจเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน "BA.2" ในอนาคตอันใกล้
- การตรวจกรองด้วย ATK หรือ PCR ที่อาจไม่ถูกต้อง
- การป้องกันการติดเชื้อด้วยวัคซีนที่อาจด้อยประสิทธิภาพลง
- การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนติบอดีสังเคราะห์ที่อาจลดประสิทธิภาพหรือไม่ได้ผล
- ผลกระทบต่ออาการ "ลองโควิด"