การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า
ถ้าบังเอิญเป็น อายุขัยต่อเท่าไรไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ
หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่
บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนก็เป็นหนุ่ม เป็นสาว
บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก
คำว่า อายุขัย นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว
กำหนดชีวิตให้มาเท่าไรถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี
๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วัน ก็ต้องแค่ ๓ วัน นี่เป็นอายุขัยต่อไม่ได้
ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกว่า "อุปฆาตกกรรม" หรือว่า "อกาลมรณะ"
อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะต่ออายุแบบนี้
ก็ต่อเสียทุกวันก็หมดเรื่องกัน
วิธีต่อทุกวัน ก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย
คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างจริงจัง
และก็ต้องเว้นจากกรรมที่ เป็น ปาณาติบาต และถ้ามีเวลาเดินผ่านไป
มีใครเขาหาปลาหาเต่า ที่เขาจะฆ่ามันให้ตายก็ออกสตางค์ซื้อ
พอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย
ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะ
ไปปล่อยในสถานที่ ๆ เธอจะมีความสุขในแม่น้ำก็ได้
หนอง คลอง บึงก็ได้ปล่อยให้เธอรอดชีวิต
ตามวิธีโบราณาจารย์ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า
วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิด หรือเป็นวันสำคัญของเรา
วันไหนก็ได้ทำกับข้าว ทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี
จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีสตางค์
ก็สร้างพระพุทธรูปสัก ๑ องค์
พระพุทธรูปนี่จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ เป็นพระปูนซีเมนต์ก็ได้
เป็นปูนปลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว
มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว
ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์
หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกง
หรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัว ๒ ตัว
ตามกำลัง แล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
และเทวดาผู้รักษาชีวิต ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ
คำว่า อุปฆาตกกรรม คือกรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัยก็ดี
และ อกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้
แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึงแค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา
เรื่องการต่ออายุนี่ มีในพระพุทธศาสนา
แต่ว่าวิธีการต่ออายุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าเดี๋ยวนี้ที่ทำกันก็จ่ายหนักอยู่เหมือนกันนะ เอาพระไปสวดตั้ง ๗ วันนี่
เสียทั้งข้าว ทั้งน้ำ นี่บางทีก็ต้องจ่ายสตางค์ด้วย แย่เหมือนกันนะ
พระเองก็จะทนไม่ไหว ก็เลยใช้สายสิญจน์ก็แล้วกัน
แต่ว่าสายสิญจน์ที่ทำกันนั้น ก็อย่าลืมพระรัตนตรัย
แต่ทางที่ดีญาติโยมพุทธบริษัทถ้าจะทำอย่างนั้นนะ
ถ้าคนป่วยจริง ๆ อย่าปล่อยให้ไม่มีความรู้สึก
ตอนที่สติยังอยู่ดี ๆ อยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง
แต่ไม่ใช่สวด อภิธรรม หากเป็นสวด พระปริตร
วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัย
ก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้
แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย อย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนกับคนที่ตกน้ำ
ว่ายน้ำไม่เป็นเราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะ ส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ
ส่งสุนัขเน่าให้เกาะ เธอก็เกาะ เพราะต้องการทรงชีวิตอยู่ ก็เช่นกัน
ถ้าคนป่วย เห็นพระสวด พระปริตร จิตของคนป่วยในตอนนั้น
ได้รับสมาทานศีลก่อน เวลานั้นก็จะรับการสมาทานศีลอยู่ด้วย
สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทำให้เป็นคนที่มีศีลเวลาที่มีการสวด พระปริตร
จิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ จิตจะยึดอยู่กับพระหลังจากพระกลับแล้ว
จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด เพราะในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีลต่อไปอีก
เพราะกำลังป่วยอยู่ก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าใคร หรือลักขโมยใคร
ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์
ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็น ธูป เทียน ดอกไม้
หรือปัจจัยโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์
กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง อีกประการหนึ่ง
ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูป
เป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดเป็น ธัมมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์
ไปสวดก็เป็น สังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย
บาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น
เหลือแต่บุญอย่างเดียวที่จะประคับประคองคนนั้นไปสวรรค์
ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน
ที่ มา : mettajetovimuti
เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน